วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

"แนะนำ 10วิธีคลายเครียดที่น่ารู้"



1. ออกกำลังกาย -- ใครๆก็พูดได้ว่าออกกำลังกายซิ แต่น้อยคนนักที่จะทำให้เป็นกิจวัตร ได้ เนื่องจากไม่มีเวลา ไม่สะดวกเรื่องการเดินทาง ตื่นเช้าไม่ไหว อุปกรณ์แพง ฯลฯ ความจริงแล้วคุณควรจะหาเวลาของแต่ละวันอย่างน้อย 30 นาที ในการออกกำลังกาย โดยเลือกกิจกรรมที่เหมาะสมกับคุณที่สุด ถ้าคุณไม่ต้องการสิ้นเปลืองกับค่าอุปกรณ์ คุณก็น่าจะเลือกการวิ่งหรือเดิน หากเป็นสูงอายุหรือเป็นผู้ที่ไม่ต้องการการกระแทก ว่ายน้ำ,โยคะ, ไทชิ ,หรือ พาลาทีส์ ก็อินเทรนน์ ไม่เลวนะคะ หากอยากมีแรงจูงใจในการออกกำลังกาย ขอแนะนำกีฬาที่เล่นเป็นหมู่คณะอันได้แก่ แบตมินตัน กอลฟ์ ฟุตบอล หรือ เทนนิสที่กำลังฮิตอยู่ในขณะนี้
กีฬาจะทำให้เราได้ระบายออกซึ่งแรงขับของจิตใจในด้านต่างๆ เช่น ความคับข้องใจ ความโกรธ ความเสียใจ ไม่พอใจ แถมยังได้สารสื่อความสุขหรือสารเอนโดฟินกลับมาด้วยแล้วคุณก็จะรู้สึกสดชื่นและหลับสบายอีกด้วยค่ะ

2. พูดระบายความเครียด -- พูดค่ะ ระบายความเครียดออกมาเลย แต่ต้องเลือกบุคคลที่คุณคิดว่า ปลอดภัย หวังดี ไม่มีพิษภัยกับตัวคุณ และควรมีความอดทนสูงในการฟัง หรือถ้าหาไม่ได้ก็นี่เลยค่ะ สัตว์เลี้ยงต่างๆไม่ว่าจะเป็น หมา แมว ปลาทอง จิ้งจก แมลงต่างๆก็ได้ ระบายให้มันฟัง (แต่อย่าลืมปิดประตูลงกลอนด้วย มิเช่นนั้น คนอื่นมาพบเข้าจะหาว่าคุณบ้าพูดคนเดียว) เพราะเวลาที่เราได้ระบายออก เท่ากับเราได้ทบทวนตัวเองไปด้วย นอกจากนี้ยังมีบริการให้คำปรึกษาแนะนำทางโทรศัพท์จากหน่วยงานต่างๆ ให้บริการด้วยค่ะ

3. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ -- การนอนหลับพักผ่อนช่วยให้คุณสดชื่นขึ้นได้มาก เหมือนได้ชาร์จแบตเตอรี่ในร่างกายใหม่ แต่ควรเตรียมความพร้อมในการนอนหน่อยนะค่ะ โดยเลือกสถานที่และเครื่องนอนสะอาด อากาศถ่ายเทสะดวก อุณหภูมิพอเหมาะ มีเสียงหรือแสงที่รบกวนคุณไม่มากนัก โดยกำหนดจิตใจก่อนนอนว่า ให้เราสดชื่น ผ่อนคลาย เอาเรื่องเครียดปัญหาต่างๆ วางไว้นอกตัว ไม่เอามาคิดตอนนอน แล้วหลับโลดค่ะ ี

4. อาหารคลายเครียด -- กลับมาเรื่องอาหารกันซักนิด อย่างที่เคยบอกไปแล้วนะคะว่าอาหารสามารถลดความเครียดของคุณได้ด้วย วันนี้จะมาย้ำอีกครั้งนะคะ อาหารที่ช่วยคลายเครียดให้คุณได้อย่างดี ได้แก่
1.- ทริปโตฟาน (1-2 กรัม ก่อนนอน) พบได้ใน ไข่ ถั่วเหลือง นมวัว เนื้อสัตว์
2.- วิตามินบี 6 (40 มิลลิกรัมต่อวัน) พบในธัญพืชต่างๆ ยีสต์ รำข้าว เครื่องใน เนื้อ ถั่ว ผัก
3.- วิตามินบี 3 (1,000 มิลลิกรัมต่อวัน) พบใน ตับ เครื่องใน เนื้อ เป็ด ไก่ ปลา ถั่ว ยีสต์
3.- สารอาหารอื่นๆ เช่น แคลเซียม กระเทียม ดอกไม้จีน

5. พักผ่อนท่องเที่ยว -- ข้อนี้ขอ Confirm ว่าจริงค่ะ เพราะคนเราก็เหมือนเครื่องยนต์ ต้องการช่วงพักไปทำการ reboot ใหม่ การที่ได้ไปท่องเที่ยวเห็นบรรยากาศทิวทัศน์สวยงามแปลกหูแปลกตา ไปเจอผู้คน ก็ช่วยกระตุ้นมุมมองชีวิตใหม่ๆ ฝรั่งเขาถึงมีช่วงพักร้อนยาว และให้ความสำคัญอย่างมาก วางแผนล่วงหน้ายาวทีเดียว เมื่อถึงเวลาก็ไปพักผ่อนทันที เมื่อกลับมาจากการท่องเที่ยวแล้ว คุณก็จะกลับมาทำงานอย่างมีประสิทธิภาพค่ะ


6. ดนตรีคลายเครียด -- หลายคนคงเคยได้ยินเกี่ยวกับการรักษาโรคด้วยดนตรีหรือดนตรีบำบัดมาแล้วนะคะ ทั้งนี้ก็เพราะดนตรีช่วยทำให้คุณอารมณ์เยือกเย็นลง ผ่อนคลาย ใจสงบ ดนตรีบำบัดมีทั้งเพลงบรรเลงด้วยเครื่องดนตรีชนิดเดียวหรือหลายชนิด เพลงที่มีเสียงคลื่นทะเล เสียงนก เสียงน้ำไหล ฯลฯ หากคุณได้ปิดไฟ จุดเทียน และฟังเพลงเบาๆ หลังจากนั้นก็หลับไปแล้วละก็ ตื่นขึ้นมาน่าจะสดใสหายเครียดได้เยอะเลยล่ะค่ะ

7. กลิ่นบำบัดอโรมาเทอราปี -- วิธีต้องแนะนำไว้ด้วย เดี๋ยวout ค่ะ กลิ่นเป็นอีกสิ่งหนึ่งของการรับรู้ทางสัมผัสที่สื่อถึงอารมณ์และความรู้สึกได้ดี คุณอาจลองจุดธูปหอมกลิ่นที่สดชื่น หรือหยดน้ำมันหอมระเหย ในขณะนอนหรือทำงานเพื่อผ่อนคลายไปด้วย หรือจะแช่น้ำอุ่นๆ ก็ไม่เลวคะ กลิ่นที่เหมาะสมแล้วแต่ชอบและรู้สึกผ่อนคลาย โดยเลือกจากการดมว่ากลิ่นไหนทำให้รู้สึกดี ให้พลัง หรือช่วยผ่อนคลาย กลิ่นที่น่าสนใจ เช่น กลิ่นไม้จันทน์หอม กลิ่นกำยาน สำหรับผ่อนคลาย กลิ่นการบูน กลิ่นส้ม กลิ่นมะนาว สำหรับสร้างความสดชื่น

8. ฝึกหายใจคลายเครียด -- การหายใจช่วยนำอากาศบริสุทธิ์ เข้าสู่ปอด แล้วเดินทางสู่สมองไปตลอดทั่วร่างกาย ลองหายใจโดยการหายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ สังเกตว่ากระบังลมขยายออก ท้องป่องออก จากนั้นค่อยๆ หายใจออกช้าๆ ไล่ลมให้ออกมากที่สุด ตอนนี้กระบังลมคุณจะหดสั้นลง ท้องจะแฟบ ถ้าช่วงแรกไม่ถนัดก็เอามือแตะท้องเพื่อปรับและเข้าใจสภาพป่องแฟบของท้องจากการหายใจก่อนแล้วฝึกไปเรื่อยๆ
9. ฝึกการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ -- โดยนำเอาหลักการฝึกหายใจมาประยุกต์ใช้ร่วมด้วย เริ่มด้วยการนั่งหรือนอนในท่าสบายๆ จากนั้นค่อยๆ เกร็งกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ขึ้นมาโดยอาจไล่จากปลายเท้า ข้อเท้า น่อง ต้นขา ลำตัว แขน มือ นิ้ว ไหล่ คอ ศีรษะ และใบหน้า เกร็งไว้สักอึดใจหนึ่ง จากนั้นค่อยๆ ผ่อนคลายย้อนกลับไปโดยเริ่มจากใบหน้า จนถึงปลายเท้า คุณสามารถใช้การฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อในยามที่รู้สึกตึงเครียด อึดอัด ไม่สบายใจ หรือแม้แต่ยามที่คุณต้องการให้สมาธิกลับคืน

10.คลายเครียดด้วยการนวด -- ปัจจุบันมีคนสนใจการนวดอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น นวดแผนไทย นวดเท้า นวดน้ำมัน นวดรักษาโรคเฉพาะที่ ทำให้มีสถาน บริการเกี่ยวกับการนวดหรือ Spa เกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด การนวดเป็นการผ่อนคายกล้ามเนื้อและทำให้เลือดลมสูบฉีด ทำให้ผู้ที่ถูกนวดรู้สึกผ่อนคลายและสบายมากยิ่งขึ้น การนวดน้ำมันยังทำให้มีผิวพรรณที่ดีอีกด้วย

ไปทำความรู้จักกับ อาจารย์ปิง เจริญศิริวัฒน์ แห่งสถาบันกวดวิชา Da’vance


ไปทำความรู้จักกับ อาจารย์ปิง เจริญศิริวัฒน์ แห่งสถาบันกวดวิชา Da’vance ติวเตอร์ภาษาไทย – สังคม
ที่รักของเด็กๆ ทุกคน ซึ่ง
ต่างพูดมาเป็นเสียงเดียวกันว่าประทับใจในการสอน “เคลียร์ไม่มีคาใจ” และความ
เป็นคนดีของอาจารย์ปิง ฮอตฮิตติดท็อป 5 ของเมืองไทยตลอด

พี่ผึ้ง : ขอให้อาจารย์ช่วยแนะนำตัวหน่อยคะ
อ.ปิง : ชื่อ ปิง เจริญศิริวัฒน์ จบจากสาขาบริหารงานบุคคล คณะพาณิชยศาสตร์
และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คะ ปัจจุบันเป็นอาจารย์สอนสถาบัน DA'VANCE
และเป็นอาจารย์พิเศษระดับมัธยมปลายทั้งโรงเรียนรัฐบาลและเอกชน


พี่ผึ้ง : ประวัติความเป็นมาของการก่อตั้งสถาบันกวดวิชาดาว้องก์
อ.ปิง : ความหมายของ Da'vance (ดาว้องก์) มาจาก D'AVANCEซึ่งเป็นภาษาฝรั่งเศส
แปลว่า ความก้าวหน้า แต่ด้วยเกรงว่าจะไม่สามารถอ่านได้หรือออกเสียงได้ลำบาก
จึงเปลี่ยนมาอ่านว่า ดา-ว้องก์ และเปลี่ยนวิธีการเขียนใหม่เป็น Da'vance ในการก่อตั้ง
“ดาว้องก์” จริงๆ แล้วเกิดขึ้นจากตัวครูเอง เริ่มการสอนครั้งแรกบนโต๊ะปิงปองกับกลุ่ม
นักเรียนรุ่นแรกในละแวกบ้าน ที่เป็นนักเรียนสายศิลป์ - คำนวณ โดยสอนทุกวิชายกเว้น
แต่เพียงวิชาวิทยาศาสตร์กายภาพชีวภาพเท่านั้น นักเรียนก็เริ่มให้ความนิยมสมัครเรียน
มากขึ้นเรื่อยๆ ต่อมา ครูก็หันมาสนใจและให้สำคัญกับการสอนในวิชาสังคมศึกษา
และวิชาภาษาไทยมากขึ้น
ซึ่งครูเห็นว่าเป็นวิชาที่มีคนสอนและใส่ใจน้อย และสอน 2 วิชานี้มาตลอดจน
กระทั่งในปัจจุบัน เพราะเห็นว่าวิชาสังคมและภาษาไทยนั้น เป็นวิชาที่มีความสำคัญมาก
ในการสอบเอนทรานซ์ ของนักเรียนสายศิลป์ และจากความนิยมของนักเรียนตรงนั้น
เป็นต้นมา ทำให้ครูต้องเปิดห้องเรียนสอนจากห้องเล็ก เล็กขนาด 25-30 คน ขึ้นมาถึง
ห้องละ 70-80 คน จนต้องขยายเพิ่มมาเป็นห้องละ 100 คน แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อ
ความต้องการของนักเรียนที่มาสมัครเรียน ห้อง VDO ที่ถ่ายทอดตรงจากห้องสดจึงเกิด
ขึ้นมา และเพื่อแก้ปัญหาที่ผู้ปกครองขอร้องกันมาว่าลูกหลานของตนยังไม่มีที่เรียน
โรงเรียนจึงถูกขยายจากฝั่งถนนเดียวมาเป็นสองฝั่งถนน และกระจายสาขาออกไปคะ


พี่ผึ้ง : ตอนนี้สถาบันกวดวิชาดาว้องก์มีทั้งหมดกี่สาขา ที่ไหนบ้างคะ
อ.ปิง : ในกรุงเทพ 8 สาขา ดังนี้ สาขาเยาวราช เปิดเป็นสาขาแรกและสาขาเดียวที่มี
รอบสด สาขาบางกะปิ สาขาวงเวียนใหญ่ สาขาวิสุทธิกษัตริย์ สาขางามวงศ์วาน
สาขาสยามสแควร์ สาขาเซ็นจูรี่ สาขาสุขสวัสดิ์ ในต่างจังหวัด 12 สาขาดังนี้ สาขาชลบุรี
สาขาราชบุรี สาขาเชียงใหม่ สาขาพิษณุโลก สาขานครสวรรค์ สาขาขอนแก่น
สาขานครราชสีมา สาขาอุบลราชธานี สาขาหาดใหญ่ สาขาภูเก็ต สาขาสุราษฎร์ธานี
สาขานครศรีธรรมราช

พี่ผึ้ง : ตราสัญลักษณ์ของดาว้องก์ มีรูปแบบและความหมายอย่างไรคะ
อ.ปิง : ส่วนตราสัญลักษณ์ของดาว้องก์ นั้น เป็นรูปก้อนอิฐที่เรียงกัน 9 ก้อน ที่มีอิฐก้อน
หนึ่งเอียงอยู่ ซึ่งความหมายของสัญลักษณ์ อิฐ 9 ก้อน มีดังนี้ คือ Da'vance แปลว่า
ความก้าวหน้า ซึ่งสถาบันดาวองก์ก็คือ สถาบันที่สร้างความก้าวหน้าให้กับนักเรียน หรือ
คือการ "ก่อสร้าง" ความรู้ให้นักเรียน "ก้าวหน้า" แต่แน่นอนที่สุดการที่จะทำได้ผล
คงไม่ได้ อาศัยแต่อาจารย์แต่เพียงฝ่ายเดียว ต้องอาศัยการรู้จักคิดและพลิกแพลงของ
นักเรียนด้วย ในบรรดาอิฐทั้ง 9 ก้อนนั้นจะมีอยู่ 8 ก้อน ที่เรียงตั้งตรง หมายถึง ความรู้ที่
อาจารย์ได้สร้างให้นักเรียนอย่างมากมาย ส่วนอิฐที่เหลืออีก 1 ก้อนนั้น ที่เอียงอยู่ยัง
ไม่ตั้งตรง นั้นหมายความว่า ความคิดพลิกแพลงของนักเรียน ที่นักเรียนจำจะต้อง
ประยุกต์ และนำความรู้ที่อาจารย์สอนไปสร้างความก้าวหน้าให้แก่ตนเอง ซึ่งถ้านักเรียน
สามารถคิดหรือพลิกแพลง ให้อิฐอีกก้อนตั้งตรงได้ อิฐทั้งหมดก็จะตรงไม่ล้มครืน และมี
ความมั่นคง อันมีความหมายโดยรวม ว่าคุณครูผู้สอนช่วยชี้แนะแนวทางให้ส่วนการลง
มือปฏิบัติเพื่อให้ประสบผล สำเร็จนั้นเป็นหน้าที่ของนักเรียนคะซึ่งการใช้สัญลักษณ์เช่นนี้
จึงเป็นเหมือนการเตือนนักเรียนว่าการจะก้าวหน้าได้ ต้องรู้จักการพลิกแพลงด้วยนั่นเอง

พี่ผึ้ง : แรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้อาจารย์เลือกมาสอนวิชาภาษาไทย – สังคมคะ
อ.ปิง : ตั้งแต่เด็กๆ จำได้ว่าอยากเป็นครูมาโดยตลอดค่ะ แม้ว่าจะมีคนมาถามบ่อยๆ ว่าทำไม อ.ปิงถึงมาเป็น
ครูสอนวิชาภาษา ไทย – สังคม ทั้งที่จบคณะบัญชี ทำไมไปสอน
วิชาคณิตศาสตร์ แต่กลับมาสอนไทย-สังคม ก็เลยบอกว่าเป็นคนคิดอย่างไรก็ทำอย่าง
นั้น และตัวครูเองอยากเป็นครูมาตั้งแต่เด็กๆ แม้ว่าอาจจะทำอย่างอื่นๆได้ แต่ก็ไม่ทิ้ง
สิ่งที่ตัวเองเป็นจริงๆ นั่นคือการเป็น “ครู” ก็เลยสอนมาโดยตลอดคะ
ส่วนที่มาสอนไทย-สังคมก็เพราะว่า จริงๆ วิชาที่ครูถนัดมากๆและเรียนได้ในระดับท็อป
มีอยู่ 4 วิชา คือ ไทย สังคม เลข อังกฤษ แต่ใน 4 วิชานี้ ตัวที่ถนัดที่สุดคือเลข
เพราะว่ามันเป็นอะไรที่ตายตัว บางคนอาจจะว่ายาก อย่างตรีโกณ พอครูเห็นโจทย์ก็
รู้ว่ามันต้องคิดอย่างไรให้เร็ว เห็นโจทย์ครูสามารถตีออก แต่อย่างวิชาอังกฤษที่เป็น
ปัญหาสำหรับตัวครูเอง คือ การที่เราต้องออกเสียงสำเนียงให้เป็นอังกฤษ แต่โดย
ธรรมชาติเราเรียนเพื่อเอามาอ่าน หรือเอามาเขียนมากกว่าที่เราจะเอามาฟัง เพราะแบบ
นั้นมันก็มีปัญหา ส่วนวิชาสังคมถึงแม้ว่าจะได้คะแนนท๊อปแต่รู้สึกว่ามันยังไม่ได้มีความ
เป็นหนึ่งเพราะว่าสังคมจริงๆ ต้องรู้ลึก ต้องรู้อะไรมากกว่านี้ คืออย่างเช่น เรามานั่งท่อง
ชื่อภูเขาแต่เรายังไม่เคยเห็น เราจะรู้ได้อย่างไร ฉะนั้นใน 4 วิชานี้โดยส่วนตัวแล้วถือว่า
วิชาสังคมมันยากเพราะมันกว้างและจะให้รู้จริงคะ
ที่นี้ต่อมาพอเรียนสอบ Pre – entranceเป็นที่หนึ่งของประเทศในการสอบคณิตศาสตร์
แววออกทางคณิตศาสตร์ อาจารย์ก็เรียกไปพบแล้วถามว่า เธอเรียนสายศิลป์ทำไม
เธอได้ท๊อปเลขมากกว่าห้องวิทย์อีก อาจารย์เขาว่าเธอมีความสามารถด้านนี้ แต่ทำไม
เธอคิดคับแคบมาเลือกเรียนสายศิลป์ แล้วพูดต่อว่า เธอรู้ไหมพวกที่เรียนสายศิลป์
เป็นพวกที่ไม่มีความคิดมาเรียน ตัวครู(อ.ปิง)ก็เลยมีความรู้สึกว่า อาจารย์เขาสอนวิทย์
แต่ก็ไม่น่าไปดูถูกคนที่เขาถนัดอีกสายหนึ่ง ซึ่งถ้าทุกคนคิดแบบนี้หมดแล้วเมื่อไรจะเกิด
สายศิลป์ที่ดี เมื่อไรจะมีคนที่เข้าใจถูกต้อง ครู(อ.ปิง)ก็เลยตั้งใจว่าเมื่อไรที่เป็นครูแล้ว
เราจะเป็นครูทางสายศิลป์ และยังเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า ถ้าเราไม่เริ่มก็จะไม่มีเลย ฉะนั้น
เราต้องทำอันนี้เป็นจุดยืนของตัวครูเอง



พี่ผึ้ง : อาจารย์เริ่มสนใจการสอนตั้งแต่เมื่อไรคะ
อ.ปิง : ครูเองเริ่มการสอน จากการติวเพื่อนๆ ในกลุ่ม และเพื่อนร่วมชั้น ตั้งแต่เรียนอยู่ที่
มัธยมปลาย โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย โดยเพื่อนบอกว่า ครูเก่งเลขก็มาติว
เลขสิ ดังนั้นช่วงเย็นก็ติวให้เพื่อนทุกวัน เพราะอยากเป็นครูในอนาคต และเพื่อนๆ นั่ง
ฟังกันเงียบและจดตามที่เราพูด และบอกว่าเราสอนดี เข้าใจง่าย เราได้ยินดีใจ ปลื้ม
ด้วยว่า เราก็สอนได้ดีเหมือนกัน ก็เลยติวมาเรื่อยๆ คะ
และพอเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัยก็ยังมีรับสอนพิเศษเรื่อยมา จริงๆ ตอนแรกมีสอน
คณิตศาสตร์ ซึ่งมีน้องๆ เด็กๆ มาเรียนกันเราเยอะ แต่เพราะไม่อยากแย่งเพื่อนสอนเลย
หันไปสอนวิชาอื่นที่เราก็ถนัดเหมือนกันแทน ซึ่งครูเลือกสอนวิชาภาษาไทย เพราะวิชา
ที่ครูชอบและคิดว่าน่าจะสอนออกมาได้ดีที่สุด เพราะมันมีหลักค่อนข้างตายตัว และเป็น
ภาษาพ่อภาษาแม่ของเราเอง ทำให้ไม่มีปัญหาเรื่องสำเนียง เหมือนภาษาอังกฤษ ซึ่ง
จริงๆ ครูก็สอนได้นะ แต่ถ้าทำให้ออกมาได้ไม่ดีที่สุดก็ไม่อยากทำ อย่างถ้าเจ้าของ
ภาษาเขามาฟัง และเกิดบอกว่า สำเนียนของยูไม่ถูกต้อง ทั้งๆ ที่เป็นติวเตอร์ดังคงอาย
เขาตายเลย
ส่วนสังคม โดยส่วนตัวครูคิดว่า ถ้าจะสอนให้ได้ดีจะต้องมีประสบการณ์มากในระดับ
หนึ่งเพราะสังคมเป็นวิชาที่กว้างมากและจะให้รู้จริงรู้แน่น ทั้งคม ทั้งชัด ทั้งลึกซึ่งเราต้อง
ศึกษาอีกนาน ไม่ใช่ศึกษาแค่มัธยมศึกษาตอนปลายหรือมหาวิทยาลัยแล้วจะจบ
แค่ตรงนั้น ครูคิดว่าประสบการณ์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดคะ แม้ว่าเราจะไม่ได้จบมาโดยตรง
เพราะสิ่งต่างๆ เหล่านนี้เราสามารถศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมได้ และต้องใช้ประสบการณ์
ในการสั่งสมความรู้ เทคนิคการสอน ซึ่งตอนนี้ครูคิดว่าตัวเองสอนดีกว่าตอนแรกที่เริ่ม
สอนอีก ประมาณ “ขิงยิ่งแก่ ยิ่งร้อนแรง” คะ


พี่ผึ้ง : แนวการสอน หรือสไตล์การสอนของอาจารย์เป็นอย่างไรคะ
อ.ปิง : เป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องเฟคเป็นอารมณ์แบบใสๆ เวลาเราคุยกับเด็กอยู่กับเด็ก
เราจะตลกอะไรก็ได้ สอนให้สนุก เรียนแล้วมีความสุข ให้เป็นความเป็นกันเองและมี
ความอบอุ่นใกล้ชิดกันระหว่างตัวผู้สอน คือ ตัวครูเอง (อ.ปิง) กับนักเรียน ซึ่งตัวครูเอง
รู้สึกว่า มีความสุขที่ได้อยู่ในห้องเรียน แล้วมีความสุขทุกครั้งที่จบการสอน เห็นเด็กบาง
คนนั่งหลับเราก็เดินไปหา เพื่อนๆเค้า ก็จะบอกว่าอาจารย์เดินมา แต่เราก็เข้าใจนะว่า
เด็กบางคนเล่นกีฬามาเขาก็เหนื่อย เราก็ให้เราพักก่อนไม่เคยจะไปด่าเขาว่าเธอลุกขึ้น
มาเรียนนะ หรือถ้าเด็กคุยกันในห้อง ครูก็มีวิธีคือ เราต้องพยายามเข้าใจเขาก่อนว่า เรา
สอนน่าเบื่อหรือเขากำลังสนใจเรื่องอะไรอยู่ ไม่ใช่มาถึงด่าเขาเลย เด็กบางคนพอด่าเขา
เขาก็จะต้านเราทันทีว่าอาจารย์ไม่มีเหตุผล ซึ่งเด็กสมัยนี้ ไม่กลัว อาจารย์จะสอนเขาได้
เราต้องได้ใจเขาก่อน ไม่ใช่บังคับเด็กให้มาเรียนเพราะถ้าเขาไม่ชอบเขาก็ไม่เรียนเลย
และเวลาที่สอน ครูเน้นพูดให้รู้เรื่อง บรรยากาศในห้อง ไม่ใช่พูดคนเดียว แต่ดึง
ลูกศิษย์คนนั้นคนเนี้ยเข้ามามีส่วนร่วม ส่วนหัวข้อเรื่องจะดูว่าเขากำลังสนใจเรื่องอะไร


ดารา นักร้องคนไหน วิจารณ์เรื่องต่างๆ นานา หาเรื่องตลกขบขัน เรื่องผี จิตวิญญาณ
มีเรื่องพูดมากมาย ยกตัวอย่างเช่น สอนเรื่องขุนช้างขุนแผน ครูก็จะเล่าเวอร์ชั่นวัยรุ่น
ผสมมุกฮา ใส่สีตีไข่เข้าไป เด็กๆจะหัวเราะไม่ใช่เล่าเรื่องตามตำราไปเรื่อยๆ ถ้าลักษณะ
นั้นนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่บ้านก็ได้ หรือครูก็เอาประสบการณ์จริง ที่เราไปเจอมาเล่าให้
เด็กฟัง ซึ่งครูจะเน้นว่า เราสอนเด็กต้องเข้าใจ เราต้องการให้เด็กมาเรียนเพื่อด้วยความ
สนุก ไม่ใช่มาเรียนเพื่อมาเล่นหรือมาหลับในห้อง
โดยกว่าจะสอนอย่างนี้ได้ ครูต้องทำการบ้านเยอะมาก ต้องเข้าไปอ่านค้นคว้าข้อมูล
ซึ่งสำรวจทีละหลายอันจากเว็บไซต์หลายแหล่ง ก่อนจะเลือกนำมาใช้ประกอบการสอน
คะ ไม่ใช่ว่าจะเอาอะไรมาเล่าก็ได้ เราต้องศึกษาดูว่า อะไรที่เด็กควรต้องรู้เหตุการณ์
อะไรในปัจจุบันและอะไรที่อินเทรนด์ ฯลฯ อย่างคอร์สหนึ่งเรียน 2 ชั่วโมง แต่ต้องใช้
เวลาเตรียมหัวข้อหรือค้นหาข้อมูลเรื่องราวไว้มากกว่า 5 ชั่วโมง พูดง่ายๆ เตรียมไว้
หลายเวอร์ชั่นในเรื่องเดียวกัน ซึ่งเด็กรุ่นนี้ครูอาจสอนแบบหนึ่ง อีกรุ่นจะอีกเวอร์ชั่น
หนึ่ง แต่สุดท้ายเด็กมีความรู้เหมือนกัน



พี่ผึ้ง :สถาบันกวดวิชาดาว้องก์เป็นสอนสดหรือวีดีโอคะ
อ.ปิง :สอนสดจะมีอยู่แห่งเดียว คือสาขาเยาวราชคะส่วนสาขาอื่นจะเป็นวีดีโอหมดคะ


พี่ผึ้ง : อาจารย์คิดว่าการเรียนสอนสด และวิดีโอแตกต่างกันอย่างไร
อ.ปิง : ครูว่าไม่แตกต่างกันมากนะค่ะ อาจจะมีแตกต่างกันที่บรรยากาศการเรียนเพียง
นิดหน่อย ซึ่งแต่ละแบบทั้งรอบสอนสด และรอบวิดีโอ มันก็บรรยากาศสนุกสนานเฮฮา
กันไปคนละแบบ แต่ถ้าพูดถึงเรื่องความรู้ที่ได้รับนั้น ครูว่าถ้านักเรียนมีความตั้งใจอยู่แล้ว
ได้เท่ากันแน่นอน ซึ่งมีนักเรียนหลายคนอาจจะคิดว่าเรียนรอบสอนสดจะได้ความรู้และ
เข้าใจในเนื้อหามากกว่าเรียนรอบวิดีโอ ซึ่งครูขอบอกเลยว่าไม่ใช่เลย โดยถ้าวัดจาก
ที่ผ่านมานักเรียนของดาว้องที่สอบแอดมิชชั่นได้อันดับต้นๆของประเทศส่วนใหญ่จะมา
จากรอบวิดีโอแทบทั้งสิ้น ดังนั้นครูมันไม่แตกต่างกันเลยที่จะเรียนรอบสอนสด หรือ
วิดีโอมันอยู่ที่ความตั้งใจ และของนักเรียนมากกว่าค่ะ

พี่ผึ้ง : ปัจจุบันมีคอร์สที่เปิดสอนทั้งหมดเท่าไร อะไรบ้างคะ
อ.ปิง : Da’vance จะเปิดสอนวิชาภาษาไทย-สังคม ในระดับมัธยมปลาย มีคอร์สหลักๆ
ทั้งหมด 7 คอร์ส ดังนี้ ม. 4 Sem 1 , ม. 4 Sem 2 , ม. 5 Sem 1 , ม. 5 Sem 2 ,
ล่วงหน้า ม. 6 , คอร์ส Intensive สรุปเนื้อหาวิชาภาษาไทยและสังคมทั้งหมด
(ม.4 – ม. 5 – ม.6) และคอร์สตะลุยโจทย์ หรือ Turbo ฝึกทักษะการทำโจทย์เพื่อ
ให้เห็นแนวข้อสอบ และแนวการตอบให้ตรงแนวข้อสอบ O-NET และ A-NET
มากที่สุดคะ

พี่ผึ้ง : การเปลี่ยนแปลงระบบสอบเข้ามหาวิทยาลัย เป็นระบบแอดมิชชั่น มีผลกระทบ
ต่อวิชาภาษาไทยและสังคมอย่างไร
อ.ปิง : ครูว่าในส่วนของตัววิชาแล้วไม่มีผลกระทบนะค่ะ แต่อาจจะหนักหน่อยในส่วน
ของผู้ที่สอบ ก็คือกลุ่มนักเรียน ม.6 ที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยนี่แหละค่ะ เพราะครูขอ
บอกเลยว่าคนที่ออกข้อสอบแอดมิชชั่นเดี๋ยวนี้นั่นเก่งมากๆ ซึ่งออกได้ครอบคลุม
ทุกเนื้อหาวิชาเลย อย่างวิชาสังคมเนี้ย ในโลกมีทั้งหมดกี่ทวีป ในข้อสอบก็จะออก
หมด และจะไม่ถามแค่เรื่องรอบตัวเท่านั้นด้วยนะค่ะ ยังมีการเจาะลึกแบบว่า ชนเผ่า
นี้อยู่ส่วนใดของทวีป หรือ ทวีปนี้ใช้กี่ภาษา ซึ่งต้องบอกเลยว่าผู้ออกข้อสอบนั้นเก่งเพราะออกข้อสอบได้ครอบคลุมและลึกมากๆ เลยค่ะ ทุกวันนี้ครูเลยเรียกการเรียน
วิชาสังคมว่า เป็นการเรียนวิชา “ฟูเฮาส์” เพราะข้อสอบออกได้ละเอียดมากๆผู้เรียนเลยต้องเรียนแบบหัวฟู ก็ประมาณนี้นะค่ะ

พี่ผึ้ง : แนวข้อสอบแอดมิชชั่น ในวิชาภาษาไทยและสังคม มีทิศทางอย่างไร
และเน้นไปที่เนื้อส่วนไหนเป็นพิเศษ
อ.ปิง : อย่างวิชาภาษาไทยเนี้ย ครูพอจะคาดเดาได้นะค่ะว่าจะออกแนวไหน ซึ่งแต่ละ
ปีก็จะออกพวกสระ วรรณยุกต์ และก็วรรณกรรมวรรณคดีต่างๆ ซึ่งโจทย์แต่ละข้อก็จะ
ให้ประมาณให้ตีความหมาย ว่าสื่อถึงอะไร เรื่องนี้ผู้แต่งแสดงความรู้สึกอย่างไร แต่
อย่างวิชาสังคมเนี้ย เรียกได้ว่าคาดเดาได้ยาก เพราะอย่างที่บอกว่า ผู้ออกข้อสอบนั้น
เก่งจริงๆ คือเราจะไม่รู้เลยว่าในแต่ละปีเขาเลือกออกส่วนไหน เช่น ปีนี้เขาหยิบเอา
ทวีปอะไรมาออก หรือปีถัดไปเลือกเอาวัฒนธรรมของชนเผ่าใดมาออก จึงก็อยากจะ
ฝากบอกนักเรียนว่า วิชาสังคมนี้ต้องอาศัย ความจำบวกกับความเข้าใจเป็นหลักเลย
แต่ส่วนใหญ่ในแต่ละปีที่ออก หัวข้อก็จะตามที่เราเรียน แต่พวกรายละเอียดอาจจะ
ต้องไปค้นคว้ามาเพิ่มเติม

พี่ผึ้ง : สถาบันกวดวิชาดาว้องก์มีโครงการตอบแทนสังคมในรูปแบบอื่นๆหรือไม่อย่างไร
อ.ปิง : อันนี้เป็นความรู้สึกตอนเด็กๆ ที่ครูอยากจะช่วยเหลือคนที่เขาเดือดร้อน ซึ่งครู
ก็คิดว่า ถ้าวันหนึ่งเรามีเงินจะทำบุญ พอมาถึงจุดนี้ก็ไม่ลืมว่าความฝันตอนเด็กคืออะไร
ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ ที่ครูเขียนหนังสือเฉลยข้อสอบขาย พอได้เงินก้อนมาเป็นแสนก็แบ่งให้
บ้านพักคนชราที่บางแค โรงพยาบาลสงฆ์ แล้วก็บ้านเด็กอ่อนพญาไท หรืออย่างครูรัก
"สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารีฯ" มาก ได้ยินมาว่า พระองค์กำลังหา
เงินเข้าโรงพยาบาลศิริราช เพื่อสร้างตึกเฉลิมพระเกียรติ เราเขียนพ็อคเก็ตบุ๊คขายแล้ว
ได้เงินมาก็นำไปมอบให้โรงพยาบาลศิริราช และอย่างทุกคอร์สที่เราเปิดก็จะเรียกมูลนิธิ
หนึ่งมารับเงิน ก็จะอนุโมทนาบุญให้กับผู้ปกครองและเด็กด้วย เราไปทำบุญก็ทำในนาม



พี่ผึ้ง : ในฐานะที่เป็นครูสิ่งใดที่ทำให้รู้สึกภูมิใจและประทับใจ คืออะไร
อ.ปิง : สิ่งที่ครูภูมิใจมากที่สุด ก็คงจะเป็นการที่ได้เป็นครูนี่แหละค่ะ เพราะตัวครูเอง
ก็ไม่ได้เรียนทางด้านสายครูมา ไม่ได้จบวุฒิสำหรับประกอบอาชีพครูอาจารย์ แต่ครูมี
ใจรักและศรัทธาในความเป็นครู สิ่งนี้แหละค่ะที่ทำให้ครูภูมิใจ เวลาครูไปเยี่ยมตาม
สาขาต่างๆ ก็จะมีนักเรียนมารอต้อนรับครูมากมายหลายคนเลย และเวลาที่จะกลับ ก็จะ
มีบางคนวิ่งไปแอบร้องไห้ในห้องน้ำ เพราะไม่อยากให้กลับ บางคนก็วิ่งมาขอจับมือครู
ซึ่งทุกอย่างมันเป็นการแสดงออกถึงความรักที่นักเรียนมีให้ครู และทุกวันนี้ครูก็ได้ยึดถือ
มาโดยตลอดว่า ครูจะรักนักเรียนทุกคนให้มากกว่าที่นักเรียนทุกคนรักครู

พี่ผึ้ง : อาจารย์อยากฝากอะไรถึงน้องๆชาวเด็กดีที่กำลังศึกษาอยู่คะ
อ.ปิง : ภาษาไทยและสังคมเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งในการดำเนินชีวิตนะค่ะ เพราะในแต่
ละวันนอกจากเราจะต้องใช้ภาษาแล้ว สังคมก็เป็นอีกหนึ่งความรู้ที่จะทำให้นักเรียนอยู่
ร่วมกับเพื่อนได้อย่างมีความสุขค่ะ และสำหรับนักเรียนที่เตรียมจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย
ในปี 51 นี้นะค่ะ อย่ามัวแต่ไปเครียดว่าจะทำไม่ได้ ให้ลองสู้ดูซักตั้งหนึ่ง และพยายาม
ทำให้เต็มที่ ส่วนผลจะออกมาอย่างไร นักเรียนทุกคนจะภูมิใจกับมันเองค่ะ

[Admissions 2555] กำหนดการสอบ GAT/PAT ปีการศึกษา 2555 ออกแล้ว ! (สอบเดือน ตุลาคม 2554 และ มีนาคม 2555) อ่านต่อ : http://www

สอบเดือน ตุลาคม 2554


กลุ่มที่ 1 ผู้สมัครที่ประสงค์จะสอบที่สนามสอบกรุงเทพฯ/สมุทรปราการ/นนทบุรี/ปทุมธานี
1) ลงทะเบียน (ผู้สมัครรายใหม่ที่ยังไม่ได้ลงทะเบียน) 1 – 29 กรกฎาคม 2554
2) สมัครสอบและเลือกจังหวัด และเขต หรือ อำเภอที่ต้องการสอบ 1 – 29 กรกฎาคม 2554
3) ชำระเงิน 1 – 30 กรกฎาคม 2554
4) ระบุโรงเรียนที่จะเลือกเป็นสนามสอบหลังการชำระเงิน 1 – 31 กรกฎาคม 2554
􀂐 กลุ่มที่ 2 ผู้สมัครที่ประสงค์จะสอบที่สนามสอบจังหวัดอื่น
1) ลงทะเบียน (ผู้สมัครรายใหม่ที่ยังไม่ได้ลงทะเบียน) 1 – 29 กรกฎาคม 2554
2) สมัครสอบและเลือกจังหวัด/อำเภอที่จะสอบ 1 – 29 กรกฎาคม 2554
3) ชำระเงิน 1 – 30 กรกฎาคม 2554
4) ตรวจสอบ / แก้ไขข้อมูลจังหวัด/อำเภอที่จะสอบ 1 – 31 กรกฎาคม 2554
ตรวจสอบและแก้ไขข้อมูลผู้สมัคร 1 – 31 กรกฎาคม 2554
ประกาศเลขที่นั่งสอบและสถานที่สอบ
พร้อมพิมพ์บัตรแสดงข้อมูลเลขที่นั่งสอบและสถานที่สอบ
20 สิงหาคม 2554
กำหนดวันสอบ 8 – 11 ตุลาคม 2554
ประกาศผลสอบ 10 พฤศจิกายน 2554


สอบเดือน มีนาคม 2555

􀂐 กลุ่มที่ 1 ผู้สมัครที่ประสงค์จะสอบที่สนามสอบกรุงเทพฯ/สมุทรปราการ/นนทบุรี/ปทุมธานี
1) ลงทะเบียน (ผู้สมัครรายใหม่ที่ยังไม่ได้ลงทะเบียน) 10 พฤศจิกายน – 7 ธันวาคม 2554
2) สมัครสอบและเลือกจังหวัด และเขต หรือ อำเภอที่ต้องการสอบ 10 พฤศจิกายน – 7 ธันวาคม 2554
3) ชำระเงิน 10 พฤศจิกายน – 8 ธันวาคม 2554
4) ระบุโรงเรียนที่จะเลือกเป็นสนามสอบหลังการชำระเงิน 10 พฤศจิกายน – 9 ธันวาคม 2554
􀂐 กลุ่มที่ 2 ผู้สมัครที่ประสงค์จะสอบที่สนามสอบจังหวัดอื่น
1) ลงทะเบียน (ผู้สมัครรายใหม่ที่ยังไม่ได้ลงทะเบียน) 10 พฤศจิกายน – 7 ธันวาคม 2554
2) สมัครสอบและเลือกจังหวัด/อำเภอที่จะสอบ 10 พฤศจิกายน – 7 ธันวาคม 2554
3) ชำระเงิน 10 พฤศจิกายน – 8 ธันวาคม 2554
4) ตรวจสอบ / แก้ไขข้อมูลจังหวัด/อำเภอที่จะสอบ 10 พฤศจิกายน – 9 ธันวาคม 2554
ตรวจสอบและแก้ไขข้อมูลผู้สมัคร 10 พฤศจิกายน – 9 ธันวาคม 2554
ประกาศเลขที่นั่งสอบและสถานที่สอบ
พร้อมพิมพ์บัตรแสดงข้อมูลเลขที่นั่งสอบและสถานที่สอบ
29 ธันวาคม 2554
กำหนดวันสอบ 3 – 6 มีนาคม 2555
ประกาศผลสอบ 10 เมษายน 2555
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมของการสอบเดือน มีนาคม 2555 http://bit.ly/iGBNSB


อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=2151661#ixzz1LUnWUcWS

การปรับลดจํานวนครั้งการสอบ GAT/PAT เหลือปีละ ๒ ครั้ง

ตามที่ สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ได้รับมอบหมายจากที่ประชุม
อธิการบดีแห่งประเทศไทย ในการดําเนินการจัดการทดสอบความถนัดทั่วไป (GAT) และความถนัดทางวิชาการ
และวิชาชีพ (PAT) เพื่อนําคะแนนไปเป็นองค์ประกอบหนึ่งในการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา
ด้วยระบบกลาง โดยได้กําหนดจัดการทดสอบจํานวน ๓ ครั้งต่อปีคือ ื เดอนมีนาคม เดือนกรกฎาคม และ
เดือนตุลาคม นั้น
จากการประชุมสามัญที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์
พ.ศ.๒๕๕๔ ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีได้มีมติเห็นชอบให้ปรับลดจํานวนครั้งการสอบ GAT/PAT จากที่
เคยจัดสอบ ๓ ครั้งต่อปีให้เหลือเพียงปีการศึกษาละ ๒ ครั้ง โดยตัดการสอบในเดือนกรกฎาคมออกไป
(รายละเอียดตามหนังสือที่ ทปอ. ๕๔/๑๔๖ ลงวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔)
ดังนั้น ตามมติการประชุมดังกล่าว ในปีการศึกษา ๒๕๕๕ สทศ. จะไม่มีจัดการทดสอบGAT/PAT
ในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๔ โดยจะเหลือการสอบเพียงเดือนตุลาคม ๒๕๕๔ (เป็นการทดสอบครั้งที่ ๑
ประจําปีการศึกษา ๒๕๕๕) และเดือนมีนาคม ๒๕๕๕ (เป็นการทดสอบครั้งที่ ๒ ประจําปีการศึกษา ๒๕๕๕)
เท่านั้น สําหรับคุณสมบัติของนักเรียนที่จะสอบ GAT/PATจะต้องเป็นผู้ที่กําลังศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ หรือ
สําเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า

วันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ผมแตกปลายทำไงดี?


การที่ผมคุณแตกปลาย สาเหตุน่าจะมาจากการขาดการดูแล หรือการดูแลที่ไม่ถูกวิธีค่ะ ถ้าอยากจะให้ผมดูดี แข็งแรง เงางาม ไม่แตกปลาย ก็เชิญตามมาค่ะ

อย่างแรกเลยคุณต้องจัดการหั่นผมเจ้ากรรมที่ทำให้คุณกังวลใจ เอ๊ะ แต่รู้สึกว่าคำว่าหั่น รุนแรงไปนะคะ เอาเป็นว่าเล็มดีกว่าค่ะเดี๋ยวคุณจะตกใจ จำเป็นอย่างมากที่จะต้องเอามันออกไป เพราะถึงคุณจะเก็บมันเอาไว้มันก็ไม่กลับมาดีได้เหมือนเดิมหรอกค่ะไม่ต้องเสียดาย จะเล็มเอง หรือจะให้ที่ร้านประจำที่รู้ใจกันทำก็ได้ แต่ถ้าจะให้ดี ให้ที่ร้านทำให้ดีกว่านะคะ เพราะจะได้กำจัดมันได้หมดหรือมากที่สุด

ต่อมาก็คือการดูแลไม่ให้กลับไปแตกปลายเหมือนเดิมนะคะ ไม่ยากเลยค่ะ คือ ยาสระผมเนี่ย ต้องเลือกให้เหมาะกับสภาพเส้นผมเรา เช่นถ้าผมคุณแห้งเสีย ต้องเลือกสำหรับผมแห้งเสียดูแลเป็นพิเศษ อะไรทำนองนั้น และกรุณาใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีราคาสักนิดนึง ไม่จำเป็นต้องแพงมาก แต่ก็อย่าถูกเสียจนไม่มีคุณภาพนะคะ และอย่าสระผมบ่อยเกินความจำเป็น ถัดจากนั้นก็ ต้องตามด้วยครีมนวดผม(ที่มีคุณภาพ)ทุกครั้งหลังสระ การนวดผมการต้องนวดตามชื่อมันด้วยนะ นวดเบาๆ จากท้ายทอยไปกลางกระหม่อมนวดไปเรื่อยๆ จะช่วยในเรื่องน้ำมันจากหนังศรีษะจะผลิตมาเคลือบเส้นผม ให้ผมเราเงางาม แข็งแรง และต้องหมักทรีทเมนต์ อาทิตย์ละ 2 ครั้งเป็นอย่างน้อยในกรณีที่ผมขาดการบำรุงมากๆ วิธีง่ายๆ ก็คือ สระผมให้สะอาด ชะโลมทรีทเม้นต์เข้มข้นให้ทั่วศรีษะ นำผ้าผืนเล็กชุบน้ำอุ่นพันรอบผม แล้วใส่หมวกอาบน้ำ หมักทิ้งไว้ 1 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย ถ้ามีเวลาทิ้งไว้ทั้งวันเลยก็ดีค่ะ ทำงานบ้านไปด้วย เพราะความร้อนจากผ้าและจากร่างการเราจะสะสมอยู่ที่ใต้หมวก ทำให้ครีมซึมซาบดีขึ้นคล้ายอบไอน้ำ หลังจากนั้นล้างออกโดยใช้น้ำอุ่นนะคะเพราะน้ำอุ่นจะล้างครีมได้หมดจด และตามด้วยน้ำเย็นทันที จะทำให้ผมเงาสลวยยิ่งขึ้นค่ะ

สระแล้ว นวดแล้ว ทรีทเมนต์แล้ว ต่อไปต้องไปอบไอน้ำค่ะ เพราะการอบไอน้ำผมเป็นการเปิดเกร็ดผมให้ครีมบำรุงเข้าไปอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าการหมัก ซึ่งต้องทำเป็นประจำจะเห็นผลอย่างสวยงามและคุ้มค่า ควรอบไอน้ำ เดือนละ 2 ครั้งนะคะ

แต่ไปก็ความร้อนค่ะ ควรหลีกเลี่ยงอย่างแรง เพราะมันคือสาเหตุหลักของผมแตกปลายของคุณ ไม่ว่าจะจากแสงแดด ไดร์เป่าผม ควรใช้ลมเย็นดีกว่า หรือถ้าจะให้ดี ทิ้งมันไปเลยดีกว่า รวมทั้งผลิตภัณฑ์ใส่ผมทั้งหลายที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผลมด้วยนะจ๊ะ ห้ามเด็ดขาด การหวีผมตอนผมเปียกด้วยนะคะ เพราะตอนผมเปียกตอนนั้นมันจะอ่อนแอมาก หากหวีจะทำให้ผมขาดเปราะ มีปัญหาตามมาอีกมาก อ้อ แล้วอาหารจำพวกถั่ว ปลา ไข่ นม เนื้อสัตว์ อาหารทะเลก็ช่วยได้ด้วยค่ะ ต้องสวยจากภายในด้วยนะคะ

สูตรบำรุงผม
1. ใช้ตระไคร้ 4 ต้น ล้างให้สะอาด แกะเปลือกออก และโขลกหรือปั่นให้ละเอียดโดยใส่น้ำอุ่นไปด้วยสักนิดหน่อย แล้วนำมากรอง แล้วนำน้ำตะไคร้ที่ได้มาหมักผมทิ้งไว้สัก 15-20 นาที ล้างออก ทำเป็นประจำทุกสัปดาห์ เส้นผมจะไม่แตกปลายสูตรนี้เป็นสูตรแก้ผมแตกปลายโดยตรงค่ะ
2.น้ำมันมะพร้าวสักครึ่งถ้วยข้าวต้ม นำมาผสมไข่แดงตีให้เข้ากัน ตั้งไฟอ่อนๆ ให้พออุ่น ไม่ต้องร้อนนะคะ ทิ้งไว้สักครู่ แล้วนำมาหมักผมใช้ผ้าคลุมทิ้งไว้ครึ่งชั่วโมง แล้วใช้น้ำอุ่นล้าง ห้ามใช้น้ำเย็นเพราะจะทำให้ไม่สะอาดพอ สูตรนี้บำรุงผมแห้งเสียค่ะ
3. ใช้น้ำมันมะกอก น้ำผึ้ง ไข่แดง 2 ฟอง กะปริมาณให้เท่าๆกัน ผสมให้เข้ากัน ชะโลมใส่ผมที่สระหมาดๆ ใช้ผ้าคลุมไว้สักครึ่งหรือ 1 ชั่วโมง ล้างด้วยน้ำอุ่น สูตรนี้ผมแข็งแรง เงางาม และนุ่มสลวยด้วยผมไม่แตกปลายด้วย