วันพุธที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ประวัติเมืองปาย


อำเภอปายเป็นเมืองเก่าแก่ ประชากรที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในดินแดนแห่งนี้มาแต่เดิมคือชาวพ่ายหรือไปร ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใช้ภาษาตระกูลออสโตร-เอเชียติก สาขาว้า-เรียง ดังมีร่องรอยหลักฐานซากวิหารและเจดีย์กระจายอยู่ทั่วไปทั้งบนภูเขาสูง ที่ดอนเชิงเขา บริเวณพื้นราบลุ่มน้ำปาย บางแห่งก่อสร้างด้วยหิน เช่น ในผืนป่าบริเวณใกล้น้ำตกเอิกเกอเต่อ ซึ่งเป็นต้นน้ำแม่ปิงน้อย บางแห่งมีการขุดคูเป็นร่องลึกบนภูเขาสูงชัน มีเจดีย์บนยอดเขา

มีหลักฐานว่าเจ้าเมืองคนแรกคือ ขุนส่างปาย ในสมัยพระเจ้าโหตรประเทศ พระราชาธิบดีเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ ส่งเจ้าแก้วเมืองออกสำรวจชายแดน ได้พบว่าภูมิประเทศน่าสนใจ จึงแนะนำให้ขุนส่างปายย้ายเมืองมาตั้งฝั่งตะวันตกของแม่น้ำปายเพราะเป็นที่ราบกว้างขวาง ผู้คนจึงเรียกเมืองใหม่ว่า "เวียงใต้" ส่วนเมืองเก่าเรียกว่า "เวียงเหนือ"



ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์
เมืองปายเป็นเมืองที่มีคนตั้งถิ่นฐานตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ในสมัยประวัติศาสตร์บริเวณที่ตั้งเมืองปายเป็นเมืองสำคัญของล้านนาในสมัยราชวงศ์มังรายซึ่งมีเมืองเชียงใหม่เป็นศูนย์กลาง ต่อมาเมืองปายได้ร้างไปพร้อมกับเมืองเชียงใหม่ ประมาณปี พ.ศ. 2318-2338 เมืองปายได้ฟื้นฟูเป็นหมู่บ้านและพัฒนาเป็นอำเภอปาย โดยมีผู้คนหลายกลุ่มชาติพันธุ์อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ ได้แก่ คนไทยวน (คนเมือง) ชาวไทใหญ่ ชาวปกาเกอญอ (กะเหรี่ยง) และชาวไทยภูเขาเผ่าต่าง ๆ ทั้งนี้เนื่องจากเมืองปายตั้งอยู่ในบริเวณที่อุดมสมบูรณ์ มีแม่น้ำไหลผ่านหลายสาย เหมาะสำหรับการประกอบอาชีพเกษตรกรรม ปัจจุบันเมืองปายเป็นเมืองชุมทางที่สำคัญเมืองหนึ่งบนเส้นทางระหว่างเชียงใหม่กับแม่ฮ่องสอน

สมัยก่อนประวัติศาสตร์
อำเภอปายมีร่องรอยการอาศัยอยู่ของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ และมีชุมชนโบราณที่ปรากฏชื่อในตำนานคัมภีร์ใบลานหลายเมือง และมีประวัติสืบต่อกันมานับร้อยปี ประกอบกับมีหลักฐานโบราณคดีปรากฏอยู่ในชุมชนโบราณดังกล่าวด้วย จากการศึกษาของพระครูปลัดกวีวัตน์ธนจรรย์ สุระมณี วัดเจดีย์หลวง อำเภอเมืองเชียงใหม่ มีรายงานการสำรวจว่าในเขตเมืองน้อย อำเภอปาย มีหลักฐานโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ดังนี้


ถ้ำผีแมน บ้านห้วยหก ตำบลเวียงเหนือ อยู่ห่างจากบ้านห้วยหกไปทางทิศตะวันตกราว 1,500 เมตร พบซากกระดูกและระแทะคล้ายรางไม้ให้อาหารสัตว์หลงเหลืออยู่ บางส่วนถูกชาวบ้านเผาไปเกือบหมดแล้ว ถ้ำผีแมนซึ่งเป็นที่อยู่ของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์นี้มีอยู่หลายแห่งในเขตจังหวัดแม่ฮ่องสอน เช่น
ถ้ำป่าคาน้ำฮู ตำบลปางหมู อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน

ถ้ำน้ำลอด อำเภอปางมะผ้า พบหลักฐานของใช้ของคนถ้ำในยุคนั้นคือ กำไลแขนทำด้วยโลหะ หม้อดินลายเชือกทาบ ขวานหินขุด ระแทะไม้ ฯลฯ

ถ้ำดอยปุ๊กตั้ง อยู่ทางทิศใต้ของบ้านห้วยเฮี้ย ตำบลเวียงเหนือ ใช้เวลาเดินทางด้วยเท้าจากหมู่บ้านประมาณ 1 ชั่วโมง พบเครื่องใช้ของมนุษย์ถ้ำมีลักษณะเช่นเดียวกันกับที่พบในถ้ำผีแมนแห่งอื่น ๆ

เทคนิคอ่านหนังสือยังไง...ไม่ให้ง่วง


1. บรรยากาศรอบตัว ใครว่าบรรยากาศรอบๆตัวไม่มีผล(ขอเถี่ยง) จริงๆจากการศึกษาเขาว่ากันว่าบรรยากาศมีส่วนมากๆที่จะทำให้เราง่วง เช่น บางคนชอบอ่านหนังสือในที่มีแสงสว่างน้อย หรือแสงไฟสลัวๆ ซึ่งจริงๆแล้ว การอ่านหนังสือในที่มีแสงไม่เพียงพอจะทำให้สายตาเราทำงานหนักขึ้นและเมื่อยล้าได้ง่าย ทำให้เมื่ออ่านไปได้สักระยะเราก็จะง่วง ดังนั้นน้องๆควรหาที่อ่านหนังสือที่มีแสงสว่างเพียงพอ

2. สถานที่ในการอ่านหนังสือ ใครว่าสถานที่ไม่สำคัญ น้องๆสังเกตบ้างหรือเปล่า ทำไมเราอ่านหนังสือในสวนหรือนอกบ้านเราจะไม่ค่อยรู้สึกง่วงสักเท่าไหร่ แต่เมื่อไหร่ที่อ่านหนังสือบนเตียงเป็นอันต้องหลับทุกที ก็บรรยากาศเป็นใจอ่ะเนอะ อิอิ ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงการอ่านบนเตียงนอนโดยเด็ดขาด ถ้าไม่อยากสอบตก -*-

3. การพักผ่อน น้องๆหลายคนติดนิสัยนอนดึกนอนดื่นซะจนชิน (เนื่องจากติดละครหรืออะไรก็แล้วแต่) รู้ไหมการนอนดึกมีส่วนมากๆที่จะทำให้เราง่วง เพราะถ้าตอนกลางคืนเรานอนไม่เพียงพอในช่วงกลางวันร่างกายต้องการการผักผ่อนจึงส่งผลให้น้องๆหลายคนเกิดอาการง่วง รู้อย่างนี้แล้วอย่าลืมนอนหลับผักผ่อนแต่หัวค่ำนะ

4. เบื่อ ความเบื่อนำมาซึ่งความง่วง ถ้าไม่อยากเบื่อ อยากง่วงลองแบ่งเวลาในการอ่านหนังสือดู วันละกี่นาที กี่ชั่วโมงก็ว่ากันไป อย่าอ่านวิชาใดวิชาหนึ่งนานๆ เพราะอาจนำมาซึ่งความเซ็ง -*- ถ้าเรารู้จักแบ่งเวลาคิดว่าน่าจะตัดความเบื่อลงไปได้บ้าง

ประโยชน์สุขจากการดื่มน้ำอย่างเพียงพอ


ร่างกายของคนเรามีน้ำเป็นส่วนประกอบอยู่ถึง 75% ของน้ำหนักตัว เราอาจจะอดอาหารได้เป็นเดือน ๆ แต่ร่างกายไม่สามารถขาดน้ำได้เกินกว่า 3 -7 วัน การดื่มน้ำอย่างถูกต้อง จะช่วยให้การไหลเวียนของโลหิตดี หัวใจทำงานปกติ และมีประสิทธิภาพแข็งแรงขึ้น ขณะเดียวกันการขับถ่ายของเสียก็ทำงานได้ดี ที่สำคัญยังช่วยให้ใบหน้าชุ่มชื่น มีเลือดฝาด และไม่ปวดหลังหรือบั้นเอว เพราะสุขภาพไตแข็งแรง

การดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว จะช่วยทำให้ปริมาณไขมันในร่างกายลดลง อาจเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่น้ำจะเป็นสิ่งสำคัญที่มีส่วนช่วยในการดูแลรูปลักษณ์ แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะต้องดื่มน้ำเพราะความจำเป็น แต่ในความเป็นจริงน้ำเป็น "อาหารอันวิเศษ " ที่ช่วยในการดูแลรูปลักษณ์อย่างถาวร

ต้องดื่มน้ำเพื่อให้ไตทำงาน

ไตไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพหากเราดื่มน้ำไม่เพียงพอ เมื่อไตไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ตับก็จะเป็นตัวที่ต้องทำงานหนักขึ้น หน้าที่หลักของตับก็คือ ช่วยเร่งการเผาผลาญไขมันที่สะสมในร่างกายให้เกิดเป็นพลังงาน แต่ตับต้องมาทำหน้าที่ของไต ทำให้มันไม่สามารถทำหน้าที่หลักได้อย่างเต็มที่ ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้เกิดการเผาผลาญไขมันได้น้อยลง และยิ่งเพิ่มการสะสมไขมันในร่างกายมากขึ้น และทำให้การดูแลรูปลักษณ์หยุดชะงักลง

กักน้ำด้วยน้ำ

การดื่มน้ำอย่างเพียงพอเป็นการรักษาของเหลวไว้ได้ดีที่สุด เมื่อร่างกายได้รับน้ำน้อยมันจะรับรู้ว่าจะต้องรักษา
ความอยู่รอดไว้โดยจะต้องรักษาน้ำไว้ทุกหยด ร่างกายจะกักเก็บน้ำไว้ในที่ว่างพิเศษในโพรงเล็กๆ (ภายนอกเซลล์) ซึ่งจะเห็น
ได้จากอาการบวมที่เท้า มือ และขา การขับปัสสาวะจะช่วยให้ดีขึ้นชั่วคราว และจะบังคับให้ร่างกายเกิดความรู้สึกว่าจะต้องมีน้ำเข้ามากักเก็บไว้พร้อมกับความต้องการสารอาหารที่สำคัญบางชนิด เมื่อร่างกายได้รับน้ำเพียงพอ อาการที่เกิดขึ้นก็จะหายเป็นปกติ วิธีที่จะหลีกเลี่ยงปัญหาการขาดน้ำในร่างกายก็คือ เราจะต้องดื่มน้ำในปริมาณมากเพื่อที่ร่างกายจะมีน้ำไว้ใช้ยามขาดแคลน
หากคุณมีปัญหาร่างกายขาดน้ำ อาจมาจากสาเหตุที่ร่างกายได้รับปริมาณเกลือมากเกินไป ร่างกายของเราจะสามารถรับปริมาณโซเดียมได้จำนวนหนึ่งเท่านั้น แต่การกำจัดปริมาณเกลือที่ทานเข้าไปเกินความต้องการนั้นสามารถทำได้ง่าย เพียงแต่ดื่มน้ำให้มากขึ้น เพราะน้ำจะช่วยให้ไตขับโซเดียมออกมา คนที่มีน้ำหนักมากร่างกายต้องการน้ำมากกว่าคนผอม คนตัวใหญ่จะมีการเผาผลาญที่มากกว่า น้ำจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีน้ำหนักมาก เพราะน้ำเป็นตัวสำคัญที่ช่วยในการเผาผลาญไขมัน น้ำยังช่วยทำให้กล้ามเนื้อของเรามีความชุ่มชื้น และยังทำให้ผิวหนังไม่เหี่ยวย่นหลังจากการดูแลรูปลักษณ์ เซลล์ขนาดเล็กสามารถลอยตัวอยู่ได้ด้วยน้ำ
ทำให้ผิวหนังดูเปล่งปลั่งและสดใส ชุ่มชื้น นอกจากนั้นน้ำยังช่วยกำจัดของเสียระหว่างการดูแลรูปลักษณ์ร่างกาย จะมีของเสีย โดยเฉพาะไขมันที่จะต้องกำจัดออก ซึ่งถ้าหากร่างกายมีน้ำเพียงพอก็จะสามารถกำจัดของเสียเหล่านี้ออกมาได้มาก

น้ำช่วยบรรเทาอาการท้องผูก

น้ำสามารถช่วยไม่ให้ท้องผูก หากร่างกายได้รับน้ำน้อย ทำให้ขับถ่ายลำบาก ซึ่งทำให้เกิดท้องผูก แต่สามารถช่วยให้หายได้ โดยการดื่มน้ำให้เพียงพอ

ได้มีการค้นพบว่าน้ำมีส่วนช่วยในการดูแลรูปลักษณ์ ร่างกายไม่สามารถทำหน้าที่ได้โดยสมบูรณ์หากได้รับน้ำไม่เพียงพอ โดยเฉพาะการเผาผลาญไขมันที่สะสม หากร่างกายเก็บน้ำไว้มากจะดูได้จากการที่มีน้ำหนักเกิน แต่แก้ไขได้โดยการดื่มน้ำเพิ่มขึ้น การดื่มน้ำมากขึ้นจะเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยในการดูแลรูปลักษณ์ ดื่มน้ำเท่าไหร่จึงจะพอ? โดยเฉพาะควรดื่มน้ำ 8 แก้วต่อวัน อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีน้ำหนักเกินควรดื่มน้ำเพิ่มมากขึ้นอีก และจะต้องเพิ่มขึ้นอีกหากคนๆ นั้นชอบออกกำลังกายหรืออยู่ในที่ ๆ
มีอากาศร้อนหรือแห้ง น้ำเย็นจะถูกดูดซึมในร่างกายได้เร็วกว่าน้ำอุ่น บางหลักฐานแนะนำว่าการดื่มน้ำเย็นจะช่วยเผาผลาญแคลลอรี่

ดื่มน้ำบำบัดโรค ช่วยอายุยืน

รายงานทางการแพทย์ระบุว่า การดื่มน้ำมากๆจะทำให้อายุยืน พร้อมสำรวจอาการร่างกายขาดน้ำ ยิ่งถ้าพบว่าผิวหนังแห้ง ไม่ชุ่มชื้น ตาแห้ง มีกลิ่นปาก ท้องผูก เป็นริดสีดวงทวาร นั่นแสดงว่าร่างกายของคุณกำลังขาดน้ำอย่างยิ่งเชียว

“วิธีแก้แบบง่ายๆ ปลอดภัย และประหยัดที่สุดก็คือ การดื่มน้ำนั่นเอง”

ดื่มน้ำให้ถูกวิธี คือ ดื่มวันละ 14 แก้ว ได้แก่

1. เวลาตื่นนอนให้ดื่มน้ำอุ่น 4 แก้ว

2. ก่อนอาหารทุกมื้อ มื้อละ 1 แก้ว

3. หลังอาหารทุกมื้อ มื้อละ 1 แก้ว

4. ในเวลา 10.00, 14.00, 16.00 เวลาละ 1 แก้ว

5. ก่อนนอนดื่มน้ำอุ่น 1 แก้ว รวม 14 แก้ว

หลักการดื่มน้ำเพื่อสุขภาพไม่ซับซ้อนอย่างที่คิด สามารถทำง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน โดยน้ำที่เหมาะแก่การดื่มคือ น้ำอุณหภูมิปกติไม่ร้อนหรือเย็นจัดจนเกินไป ถ้าเป็นน้ำอุ่นควรดื่มตอนเช้าเพื่อช่วยล้างลำไส้ให้สะอาด และช่วยการขับถ่ายของเสีย

เทคนิคในการดื่มน้ำเพื่อสุขภาพ ทางการแพทย์บอกว่าถ้าดื่มในช่วงพระอาทิตย์ยังไม่พ้นขอบฟ้าต้องดื่มน้ำอุ่น....แต่ถ้าพระอาทิตย์พ้นขอบฟ้าแล้วให้ดื่มน้ำเย็น เพื่อเป็นการกลับคืนสู่ธรรมชาติที่มนุษย์ทุกคนหลงลืมอิทธิพลของพระอาทิตย์พระจันทร์มานาน ถ้าทำได้ดังที่กล่าวมาประโยชน์จากการดื่มน้ำจะเกิดขึ้นกับร่างกายของคุณอย่างเห็นได้ชัด

ข้อควรจำ ไม่ควรดื่มน้ำก่อนและหลังรับประทานอาหารเสร็จใหม่ ๆ เพราะจะทำให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจางลง ส่งผลให้การย่อยไม่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ในแต่ละมื้อไม่ควรรับประทานอาหารให้แน่นจนเกินไป ควรทานแค่อิ่มพอดี แล้วรับประทานผลไม้สดเพื่อล้างคอก่อนจะจิบน้ำตามนิดหน่อยรับรองสบายท้อง ส่วนการรับประทานอาหารพร้อมกับดื่มน้ำตลอดเวลาเป็นนิสัยที่ควรเลิก ทางที่ดีควรซดน้ำแกงกลั้วคอจะดีกว่า

ส้ม....แสนรัก


ส้ม...แสนรัก (Momypedia)

คุณรู้จัก "ส้ม" กันดีแล้วหรือยัง ถ้ายังตามมาเลยค่ะ

พูดถึง "ส้ม" หลายคนบอกว่า...ฉันรู้จักดี เพราะส้มเป็นผลไม้แสนฮิต มีให้เลือกหลายชนิด ที่สำคัญส้มไม่ได้มีเพียงแค่ความอร่อย ยังมีประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายด้วย

ส้มเป็นผลไม้ตระกูล Citrus ที่ให้ทั้งรสเปรี้ยวและหวาน จึงอุดมไปด้วยสารอาหารต่างๆ มากมาย ที่เด่นที่สุดคือ ให้วิตามินซีสูง นอกจากนี้ ยังมีแคลเซียม วิตามินเอ บี โปแตสเซียม แคลเซียม ใยอาหาร ฟอสฟอรัส เหล็ก ซึ่งส้มแต่ละชนิดจะให้คุณค่าทางสารอาหารไม่ต่างกันมากนัก ส่วนคุณประโยชน์ด้านอื่นๆ เช่น

ดื่มเพื่อเพิ่มความสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ลดความเครียด ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ

เลือดออกตามไรฟัน และมีคุณสมบัติช่วยล้างพิษในร่างกาย

ในส้มมีสารฟลาโวนอยด์ ช่วยป้องกันการอักเสบ และเลือดจับตัวเป็นก้อน

มีคอลลาเจน ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย ให้ผิวมีความยืดหยุ่น ไม่แห้งแตก และยังช่วยสมานแผลหลังผ่าตัด แผลไฟไหม้ ให้หายเร็วและแผลเรียบเนียนขึ้น


ส้ม...ลักษณะเด่นที่แตกต่าง

ส้มในบ้านเรามีหลายชนิด ทั้งส้มให้ความเปรี้ยวและส้มให้ความหวาน แต่ละชนิดก็มีลักษณะเด่นและการนำไปใช้แตกต่างกันไป อาทิเช่น

ส้มซันคิสต์ มีรสชาติอร่อยเข้มข้น เปลือกมีกลิ่นหอม จึงนิยมนำทั้งน้ำและเปลือกมาทำขนม ไม่ว่าจะเป็นคุกกี้ เค้ก หรือแยม

ส้มเขียวหวาน มีเนื้อหวานฉ่ำ เหมาะสำหรับกินสดๆ หรือคั้นดื่ม เพราะเปลือกบางทำให้คั้นได้ง่าย

ส้มจุก มีรสชาติและสีใกล้เคียงกับส้มเช้ง คือ หวานอ่อนๆ จึงเหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน หรือคนที่ต้องการลดน้ำหนักค่ะ

ส้มโอ เป็นส้มที่สามารถนำมาทำอาหารได้ทั้งคาว เช่น ยำส้มโอ ใส่ในข้าวยำน้ำบูดู ใส่ในสลัด หรือทำอาหารหวาน เช่น ส้มโอลอยแก้ว ส่วนเปลือกของส้มโอที่มีสีขาวนุ่ม รสชาติขมๆ อยู่ติดกับเปลือก ยังสามารถนำมาเชื่อมได้อีกค่ะ

ส้มจี๊ด คนไทยส่วนใหญ่ไม่นิยมกินเพราะเปรี้ยวมาก แต่คนจีนนิยมกินโดยเฉพาะนำมาคั้นทำน้ำส้ม หรือนำมาอบแห้งค่ะ

ส้มจีน เป็นส้มที่กินสด หรือนิยมนำมาไหว้เจ้าหรือไหว้บรรพบุรุษ เพราะคำว่าส้มในภาษาจีนจะฟังเหมือนคำว่าทอง และสีก็เหมือนทองด้วย จึงถือเป็นผลไม้มงคลสำหรับชาวจีนค่ะ

เลมอน เป็นส้มที่มีรสชาติคล้ายมะนาว แต่จะมีรสหวานนิดๆ ส่วนใหญ่เป็นส้มที่ชาวต่างชาตินิยมนำมาทำอาหารแทนมะนาว เพราะไม่มีมะนาว หรือนำมาทำเป็นเครื่องดื่มในฤดูร้อน เพราะต่างประเทศไม่มีมะนาวนั่นเองค่ะ

มะนาว เป็นหนึ่งในตระกูลส้มที่ให้ความเปรี้ยวมากที่สุด จึงนำมาปรุงอาหารได้สารพัด เช่น ต้มยำ ยำต่างๆ น้ำพริก รวมทั้งเป็นส่วนผสมในน้ำสลัด ฯลฯ

มะกรูด เป็นหนึ่งในตระกูลส้มชนิดเดียวที่ไม่ได้นำน้ำหรือความเปรี้ยวมาปรุงอาหาร เพราะคนส่วนใหญ่จะนำกลิ่นหอมจากเปลือกมะกรูดมาใช้มากกว่า เช่น ใส่ในแกงมัสมั่น แกงเทโพ หรือทำหน้าหมี่กรอบ ส่วนน้ำมะกรูดนำมาทำเป็นยาสระผมค่ะ


ส้ม...กินอย่างไรให้เหมาะ

ส้มไม่ได้มีประโยชน์สำหรับผู้ใหญ่เพียงอย่างเดียวนะคะ เพราะส้มยังมีประโยชน์กับเจ้าตัวเล็กของคุณอีกด้วย

สำหรับพ่อแม่ที่อยากให้เจ้าตัวเล็กดื่มน้ำส้มคั้น ขอบอกไว้ก่อนนะคะว่าต้องให้หลัง 6 เดือน เพราะเป็นช่วงที่สามารถให้อาหารเสริมกับเจ้าตัวเล็กได้แล้ว ที่สำคัญการให้น้ำส้มกับเด็ก ไม่ว่าจะเป็นวัยใดก็ตามควรผสมน้ำในปริมาณครึ่งต่อครึ่ง เนื่องจากส้มจะมีรสชาติเข้มข้นการให้น้ำส้มลูกโดยไม่ผสมอะไรเลย อาจทำให้เกิดการระคายเคืองในระบบดูดซึมของลูกได้ค่ะ

พอลูกโตขึ้นจึงค่อยๆ ลดปริมาณน้ำลง จนถึงอายุ 5 ขวบ แล้วค่อยให้น้ำส้มอย่างเดียว เนื่องจากน้ำส้มมีรสหวานมาก การผสมน้ำจึงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้เจ้าตัวเล็กไม่ติดหวานตั้งแต่ตัวน้อยๆ ค่ะ

สำหรับผู้ที่เป็นโรคไตและเบาหวาน ถ้าคิดจะกินส้ม ขอบอกไว้ก่อนนะคะ ว่าควรกินด้วยความระมัดระวัง เพราะส้มเป็นผลไม้ที่ให้โปแตสเซียมและน้ำตาลสูง จึงควรกินเป็นผลเพราะจะมีกากใยดีกว่าเป็นน้ำส้มคั้น เพราะน้ำส้มคั้น 1 แก้วต้องใช้ส้มหลายผล

ส้ม...การเลือกซื้อ

การเลือกซื้อส้มที่มีรสหวาน รสชาติอร่อยนั้น ควรเลือกที่มีผิวเรียบเนียน เปลือกบาง เช่นเดียวกับมะนาวที่ผิวเรียบเนียน เปลือกบางก็จะให้น้ำเยอะ ถ้าเป็นส้มเขียวหวานก็จะหวานมาก ยกเว้นมะกรูดค่ะ เพราะธรรมชาติของมะกรูดผิวจะขรุขระไม่เสมอกันอยู่แล้ว

ทราบคุณประโยชน์ที่แตกต่างของส้มแต่ละชนิด รวมทั้งการเลือกซื้อเพื่อให้ได้ส้มที่คุณภาพดีกันแล้ว ผลไม้ตั้งโต๊ะของครอบครัวมื้อต่อไปต้องไม่พลาดส้มแน่นอนใช่มั้ยคะ

วันพฤหัสบดีที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

สะพานเสรีประชาธิปไตย

สะพานเสรีประชาธิปไตย

ท่านที่ไปชมพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ จังหวัดอุบลราชธานี คงจะสังเกตเห็นแผ่นป้ายคอนกรีตผิวหินล้าง ข้อความว่า "สะพานเสรีประชาธิปไตย 2497" จำนวน 4 ป้ายเรียงหน้ากระดาน ด้านทิศตะวันตก อาคารสถานพิพิธภัณฑ์ฯ ดังกล่าว ซึ่งอยู่ด้านหน้าวัดศรีอุบลรัตนาราม พระอารามหลวง สะพานเสรีประชาธิปไตย ได้ถูกรื้อถอนเพราะหมดอายุการใช้งาน เกรงว่าจะเกิดอันตราย เมื่อปี พ.ศ. 2533 เหลือเพียงแต่ป้าย 4 แผ่น นำมาวางเรียงไว้ ให้อนุชนคนรุ่นหลังได้ชมเฉพาะป้ายชื่อ โดยไม่ทราบความเป็นมา หรือประวัติของสะพานแห่งนี้ เพราะกลายเป็นอดีตไปแล้ว

น.พ.บัณฑิต เชาวกุล รองประธานหอการค้า/ผอ.รพ.อุบลรักษ์ - ธนบุรี/ประธานสภาเทศบาลนครอุบลราชธานี คุณนิมิต สิทธิไตรย์ รองประธาน/เลขาธิการ/ประธานฝ่ายวารสารหอการค้าอุบลฯ และคุณสุเทพ แก้ว วรสูตร บรรณาธิการ วารสารข่าว หอการค้าอุบลฯ ได้ยกเรื่องนี้ สอบถามในห้องประชุมใหญ่ ศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2543 เพราะสงสัยว่า... ชื่อสะพานแห่งนี้ ทำไมพ้องกับระบอบการปกครอง (ไม่เหมือนลักษณะชื่อสะพานโดยทั่วไป) ใครเป็นคนตั้งชื่อ? และสะพานเสรีประชาธิปไตย มีประวัติความเป็นมาอย่างไร? ชาวอุบลฯ สนใจหรือพอใจชื่อสะพานแห่งนี้หรือไม่? มีการวิพากษ์วิจารณ์หรือต่อต้านอย่างไรบ้างหรือเปล่า? ผู้เขียนได้ตอบข้อสงสัยข้างต้น พร้อมกับเล่าประวัติสะพานพอสังเขป แต่ไม่จุใจ ให้เขียนบทความเกี่ยวกับสะพานแห่งนี้ จะได้รายละเอียดมากกว่า และเผยแพร่ให้ผู้สนใจได้ทราบด้วย เพื่อจะไม่เป็น "ห้องสมุดเฉพาะตัวบุคคล"



สะพานเสรีประชาธิปไตยเริ่มก่อสร้าง โดยใช้เรือปั้นจั่นขนาดใหญ่ ตอกเสาเข็มกลางแม่น้ำมูล เพื่อสร้างตอม่อและเสาสะพาน
ชาวอุบลฯ ตื่นเต้นดีใจ ใช้ภาพถ่ายเป็นบัตรอวยพรปีใหม่ 2496

เริ่มการก่อสร้างสะพาน

สังเกตจากภาพถ่าย ภาพแรกจะเห็นว่าสะพานเสรีประชาธิปไตย เริ่มก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2496 ค่าก่อสร้าง แปดล้านบาทเศษ จากงบประมาณแผ่นดิน โดยกรมโยธาเทศบาล (กรมโยธาธิการในปัจจุบัน) เป็นหน่วยงานออกแบบ และควบคุมการก่อสร้าง สะพานกว้าง 9.00 เมตร ยาว 450.00 เมตร วิศวกรผู้ควบคุมงานก่อสร้างสะพานแห่งนี้ชื่อ คุณประสิทธิ์ สุทัศน์กุล (ต่อมาดำรงตำแหน่งโยธาเทศบาล จังหวัดอุบลราชธานีคนแรก และเป็นเขยเมืองอุบลฯ แต่งงานกับคุณสุเพ็ญ ทองหล่อ รองนางงามมิตรภาพ พ.ศ. 2495 บุตรสาวพันตำรวจตรี หมื่นชิต ธุรชน บ้านอยู่ที่มุมถนนพนมบรรจบกับถนนพโลชัย) บริษัท กำจรก่อสร้าง เป็นผู้รับเหมาสร้างสะพานนี้

ชาวอุบลฯ วิจารณ์การสร้างสะพาน

บริษัทผู้ก่อสร้าง ได้จัดทำหุ่นจำลอง (Model) สะพานขนาดเล็กไว้ ณ ที่ทำการชั่วคราวของบริษัท ปลายถนนอุปราชริมฝั่งแม่น้ำมูล รูปร่างลักษณะเหมือนในแบบแปลนทุกประการ แต่ย่อส่วน ชาวอุบลฯ ทั่วไปวิจารณ์เรื่องโครงสร้างของสะพานอย่างกว้างขวาง เนื่องจากโครงสร้างของสะพานข้ามแม่น้ำสายสำคัญในสมัยนั้น ส่วนบนของสะพาน จะต้องเป็นโครงเหล็ก ยึดโยงเชื่อมกันอย่างแข็งแรง ส่วนตอม่อรับพื้นสะพาน ก็ต้องเป็นแท่งคอนกรีตเสริมเหล็กขนาดใหญ่โต เต็มความกว้างของสะพาน ตัวอย่างเช่น สะพานพระพุทธยอดฟ้าฯ สะพานพระราม 6 ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ที่กรุงเทพฯ สะพานนวรัฐ ที่เชียงใหม่ สะพานเดชาติวงศ์ ที่นครสวรรค์ เป็นต้น

แต่โครงสร้างของสะพานข้ามแม่น้ำมูล ที่กำลังก่อสร้างในปี พ.ศ. 2496 - 2497 ไม่มีโครงเหล็กยึดโยงเชื่อมกัน เพื่อความเชื่อมั่นในความแข็งแรง สำหรับตอม่อสะพาน ก็เป็นเพียงเสา 3 ต้น ไม่ใหญ่ไม่โตเท่าไรนัก ตั้งห่างกันเป็นระยะไม่น่าจะรับน้ำหนักตัวสะพานได้ ส่วน "คาน" ของสะพาน แทนที่จะเป็นแท่งคอนกรีตทึบ หนักแน่นมันคง แต่กลับเป็นคอนกรีตโปร่งรูปเหลี่ยม ลักษณะเหมือนลูกกรงระเบียงมากกว่าที่จะเป็นคานรับน้ำหนักของสะพาน ทางเดินเท้าก็ไม่มีเสารับ ยื่นออกจากตัวสะพานลอยๆ กลัวว่าจะหักลงมา

สรุปแล้ว สะพานข้ามแม่น้ำมูลแห่งนี้ เป็นลักษณะของสะพานข้ามคลองเล็กๆ มากกว่าจะเป็นสะพานข้ามแม่น้ำสายสำคัญ ซึ่งสะพานมีความยาว 450.00 เมตร เป็นสะพานยาวที่สุดในประเทศไทยสมัยนั้น ชาวอุบลฯ ต่างวิตก วิจารณ์กันโดยทั่วไป แม้จะได้รับการชี้แจงว่า โครงสร้างของสะพาน เป็นการออกแบบตามหลักวิชาการสมัยใหม่ แต่ก็ไม่คลายกังวล

การตั้งชื่อสะพาน

เมื่อการก่อสร้างสะพานใกล้จะแล้วเสร็จ จะต้องตั้งชื่อสะพานแห่งนี้ ก่อนที่จะมีพิธีเปิดเป็นทางการ จึงให้ชาวอุบลฯ แสดงความคิดเห็นในการตั้งชื่อสะพาน เพื่อความมีส่วนร่วม ปรากฏว่าการตั้งชื่อสะพาน แยกความคิดเห็นเป็น 3 แนวทาง

แนวทางที่ 1 กลุ่ม ส.ส. อุบลฯ สมัยนั้น มีนายยงยุทธ พึ่งพบ เป็นต้น ออกใบปลิวแจ้งว่า ผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการก่อสร้างสะพานแห่งนี้คือ "พันเอกหลวงบูรกรรมโกวิท" อธิบดีกรมโยธาเทศบาล เป็นผู้สรรหางบประมาณมาก่อสร้าง ด้วยการแปรญัตติจากโครงการต่างๆ ควรตั้งชื่อสะพานนี้ว่า "บูรกรมโกวิท" หรือ "บูรกรมเนรมิต" แต่ชาวบ้านไม่เห็นด้วย เพราะเป็นเรื่องส่วนบุคคล มิใช่ส่วนรวม

แนวทางที่ 2 กลุ่มข้าราชการบำนาญ ซึ่งเป็นผู้เฒ่า ผู้แก่ของเมืองอุบลฯ ประกอบด้วย ขุนสาธก ศุภกิจ อดีตสรรพากรจังหวัด ขุนวรเวธวรรณกิจ อดีตศุภมาตราจังหวัด ขุนวรวาทพิสุทธิ์ อดีตศึกษาธิการจังหวัด ขุนอุทารระบิล อดีตปลัดเทศบาลเมืองอุบลฯ ขุนวิเลขกิจโกศล อดีตสมุหบัญชีเทศบาลเมืองอุบลฯ ชุดก่อตั้ง ได้แสดงความคิดเห็นว่า พระมหากษัตริย์ทรงตั้งพระบรมวงศานุวงศ์ให้ทรงกรม โดยนำชื่อจังหวัดต่างๆ มาตั้งพระนามบรรดาศักดิ์หรือราชทินนาม เช่น กรมขุนสุโขทัยธรรมราชา (รัชกาลที่ 7) กรมหลวงสงขลานครินทร์ (พระบรมราชชนกฯ) แต่จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นจังหวัดใหญ่ เป็นหัวเมืองเอก มีชื่อว่า "ราชธานี" แห่งเดียวของประเทศ ยังไม่มีการนำชื่อจังหวัดอุบลฯ มาตั้งพระนามาบรรดาศักดิ์ หรือราชทินนาม พระบรมวงศานุวงศ์พระองค์ใดเลย แต่ชาวอุบลฯ ภาคภูมิใจที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช ทรงตั้งพระนามสมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระองค์แรกว่า "อุบลรัตน์ราชกัญญาฯ" จึงสมควรขอพระราชทานนาม "อุบลรัตน์" มาเป็นชื่อสะพานแห่งนี้ เพื่อเป็นสิริมงคลตลอดไป (แม้ว่าพระนาม "อุบลรัตน์" จะมิได้เป็นชื่อของสะพาน ตามความมุ่งหวังของหลักชัยไม้เท้าชาวอุบลฯ แต่อีก 12 ปีต่อมา (พ.ศ. 2509) ชาวอุบลฯ ทั้งหลายก็ปลาบปลื้มใจ ที่ได้รับพระราชทานนาม "วัดศรีอุบลรัตนาราม" แทนวัดศรีทองเดิม สมควรปรารถนาตามเจตนารมย์ทุกประการ)

แนวทางที่ 3 กลุ่มคณะกรรมการหาทุนสร้างอนุสาวรีย์ "พระวอ-พระตา" และแนวร่วมต่างๆ แสดงความคิดเห็นว่า ควรตั้งชื่อสะพานนี้ว่า "สะพานพระวอ-พระตา" เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ผู้สร้างเมืองอุบลฯ เช่นเดียวกับ สะพานปฐมบรมราชานุสรณ์" สร้างเพื่อเทอดพระเกียรติสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พระผู้สร้างกรุงเทพมหานคร

แนวทางตั้งชื่อสะพานทั้ง 3 แนวทาง ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างเต็มที่ แต่ยังหาข้อยุติไม่ได้ กำหนดการจะเปิดสะพานก็ใกล้เข้ามาทุกที จังหวัดจึงรวบรวมความเห็นทั้ง 3 แนวทาง ให้รัฐบาลตัดสินชี้ขาด รัฐบาลสมัยนั้น มีจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี กำลังต่อสู้กับลัทธิคอมมูนิสต์ ซึ่งเป็นการปกครองระบอบเผด็จการ แต่เขาเรียกลัทธิของเขาว่า ประชาธิปไตย อีกแบบหนึ่ง จอมพล ป. พิบูลสงคราม จึงรณรงค์ให้โลกรู้ว่า การปกครองของไทย เป็นการปกครองแบบ "เสรีประชาธิปไตย" (Free -Democracy) ทุกสิ่งทุกอย่างในประเทศไทย จะต้องเป็นเสรีประชาธิปไตย เพื่อต่อต้านระบอบเผด็จการของคอมมูนิสต์ แม้แต่ชื่อสะพานก็เป็น "สะพานเสรีประชาธิปโตย"

สะพานแห่งนี้ มีการวิตกวิจารณ์กันว่า น่าจะไม่มั่นคง แต่ก็ดำรงคงอยู่คู่เมืองอุบลฯ เป็นเวลา 36 ปี จึงหมดอายุการใช้งาน ผู้เขียนได้รับเชิญร่วมพิจารณาสร้างสะพานใหม่ แทนสะพานนี้เมื่อปี 2532 ที่กรมโยธาธิการ สะพานชื่อเดิมแต่สร้างใหม่ ณ สถานที่เดิม เปิดใช้ปี 2535 ซึ่งเป็นปีที่อุบลราชธานีอายุครบ 200 ปี คู่ขนานกับ "สะพานรัตนโกสินทร์ 200 ปี" จังหวัดอุบลราชธานี เป็นที่เตือนใจว่า สะพานเสรีประชาธิปโตยเดิม แม้จะหมดสภาพไปตามอายุขัย ก็มีสะพานเสรีประชาธิปไตยใหม่ ขึ้นมาแทนที่ และจะสถิตย์สถาพรตลอดไป เช่นเดียวกับ ระบอบประชาธิปไตย คู่กับประเทศไทย

ผลไม้ต้านสารมะเร็ง

ผลไม้ต้านสารมะเร็ง

กรมอนามัยวิจัย 10 ผลไม้ไทย มีสารต้านมะเร็งสูง นางนัทยา จงใจเทศ นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า จากการทำวิจัย องค์ความรู้เรื่องปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระในผลไม้เพื่อส่งเสริมสุขภาพ (วิตามินซี วิตามินอี และ เบต้าแคโรทีน) ในผลไม้ ที่ทำการศึกษาในผลไม้ 83 ชนิด พบว่า

ผลไม้ 10 อันดับแรกที่มีเบต้าแคโรทีนสูงคือ

1. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก
2.
มะเขือเทศราชินี
3.
มะละกอสุก
4.
กล้วยไข่
5.
มะม่วงยายกล่ำ
6.
มะปรางหวาน
7.
แคนตาลูปเนื้อเหลือง
8.
มะยงชิด
9.
มะม่วงเขียวเสวยสุก
10.
สับปะรดภูเก็ต

ผลไม้ทั้งหมดนี้มีเนื้อสีเหลืองและสีเหลืองเข้ม


ส่วนผลไม้ที่ไม่มีเบต้าแคโรทีนเลย
1.
แก้วมังกร
2.
มะขามเทศ
3.
มังคุด
4.
ลิ้นจี่
5.
สาลี่

10
อันดับแรกของผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงคือ

1.
ฝรั่งกลมสาลี่
2.
ฝรั่งไร้เมล็ด
3.
มะขามป้อม
4.
มะขามเทศ
5.
เงาะโรงเรียน
6.
ลูกพลับ
7.
สตรอเบอร์รี่
8.
มะละกอสุก
9.
ส้มโอขาว
10.
แตงกวา
11.
พุทราแอปเปิล



การศึกษานี้พบผลไม้ที่มีวิตามินอีสูง 10 อันดับแรกคือ

1.
ขนุนหนัง
2.
มะขามเทศ
3.
มะม่วงเขียวเสวยดิบ
4.
มะเขือเทศราชินี
5.
มะม่วงเขียวเสวยสุก
6.
มะม่วงน้ำดอกไม้สุก
7.
มะม่วงยายกล่ำสุก
8.
แก้วมังกรเนื้อสีชมพู
9.
สตรอเบอร์รี่
10.
กล้วยไข่

ผลไม้ที่มีเบต้าแคโรทีน วิตามินซี และวิตามินอีน้อยทั้ง 3 ตัว คือ สาลี่ องุ่น และ แอปเปิ้ล

วันอาทิตย์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2553

หอคอยปีศาจ : Devils Tower


Devils Tower




สถานที่ตั้ง มลรัฐไวโอมิง ประเทศ สหรัฐอเมริก

หอคอยปีศาจในมลรัฐไวโอมิง เป็นชื่อเรียกหินที่ดผล่ขึ้นมาเหมือผิวดินเป็นรูปหน้าตัดตอนบนคล้าย ๆ กับตอของต้นไม้ใหญ่มหึมา ตอหีนนี้เกิดขึ้นเพราะอำนาจหินละลายของภูเขาไฟ เมื่อมันจับตัวเย็นลง และถูกอำนาจความร้อนและแสงแดดลมและฝนพัดซะกร่อนอยู่เสมอ ทำให้เห็นชั้นของหินในด้านตั้งได้ชัดเจน และมีลักษณะแปลกประหลาดมาก ชั้นของหินเหล่านี้แตกหักแล้วทำให้คงรูปเป็นเหลี่ยมขึ้นโดยรอบ จนเกือบไม่น่าเชื่อเลยว่าธรรมชาติจะสร้างสิ่งมหัศจรรย์ขึ้นมาได้เช่นนี้


ปามุคคาเล่ ปราสาทปุยฝ้าย



Pamukkale




สถานที่ตั้ง ประเทศตุรกี

ปามุคคาเล่ ดินแดนแห่งน้ำพุเกลือร้อนที่ไหลทะลุออกมาจากใต้ดินผ่านซากเมืองเก่าสมัยกรีกก่อนที่จะไหลลงสู่หน้าผา ในอดีตกาลชาวโรมันเชื่อว่าน้ำพุร้อนดังกล่าวสามารถรักษาโรคได้ จึงได้สร้างเมือง ฮีเยราโพลิส ล้อมรอบ ผลจากการไหลของน้ำพุเกลือแร่ร้อนนี้ได้ก่อให้เกิดทัศนียภาพของน้ำตกสีขาว เป็นชั้นๆหลายชั้น และผลจากการแข็งตัวของแคลเซียมทำให้เกิดเป็นแก่งหินสีขาว และแก่งหินสี ราวหิมะขวางทางน้ำ เป็นทางยาวซึ่งมีความงดงามมากประดุจหิมะจนถูกขนานนามว่า ปราสาทปุยฝ้าย แล้วหากใครอยากอาบน้ำแร่ก็ไม่ผิดหวัง เพราะที่นี่เขาสร้างแอ่งน้ำจำลองไว้บริการให้ดำผุด ดำว่ายเต็มที่ สาวนแอ่งธรรมชาติหมดสิทธิ์แตะ เพราะอาจเกิดความเสียหายขึ้นได้

สิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวอย่างมากคือ หน้าผาที่ขาวที่กว้างใหญ่ด้านข้างของอ่างน้ำ เป็นรูปร่างคล้ายหอยแครง และน้ำตกแช่แข็ง ถ้ามองดูจะดูเหมือนสร้างจากหิมะ เมฆ หรือ ปุยฝ้าย ชาวตุรกีขนานนามภูมิประเทศแห่งที่สถิตของเทพยดา นี้ว่า Pamukkale (ปราสาทปุยฝ้าย) pamuk หมายถึง cotton และ kale หมายถึง castle




บอรา บอรา : Bora Bora



Bora Bora



สถานที่ตั้ง ประเทศ French Polynesia

หมู่เกาะชาวพอลินีเชียในมหาสมุทรแปซิฟิค Bora Bora ในแปซิฟิคตอนใต้เป็นสถานที่รื่นเริงที่กว้างขวางสวยงามที่สุดในโลก เกาะถูกล้อมรอบด้วยเขต

ร้อน Bora Bora ที่มีชื่อเสียง ทะเลสาบสีน้ำเงินล้อมรอบด้วยหินปะการังเป็นรูปวงแหวน และสวมมงกุฎที่สง่างามอย่างธรรมชาติด้วยภูเขาไฟผิวขรุขระสูง 727( 2385 ฟิต) แกนภูเขาไฟที่อุดมและตกแต่งไปด้วยใบไม้เขตร้อน

Bora Bora
เป็นที่โปรดปรานของนักประดาน้ำที่สวมท่อหายใจ และที่ไม่สวมเครื่องดำน้ำ พวกเขาตลึงกับการปะปนกันของจำนวนและสีสันของพันธุ์ปลาเขตร้อนในน้ำใสสีฟ้า(อย่างพลอยเทอ-คอยส) น้ำอุ่นและหาดทรายขาวจำนวนหนึ่งยังคงอยู่ให้นักว่ายน้ำและผู้ที่อาบแดด ชื่นชม อย่างสำราญใจ

ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การเยี่ยมชม เนื่องจากลมที่พัดเข้าหาเส้นศูนย์สูตรจะเก็บรักษาอากาศสดชื่น Bora Bora ตลอดปี ถึงแม้นักท่องเที่ยวที่คิดจะมาเยี่ยมชมในช่วงเวลาเดือนพฤษภาคม ถึงเดือนกันยายน เวลานั้นก็จะเต็มไปด้วยแสงแดด



เดดซี: Dead Sea


Dead Sea





สถานที่ตั้ง ในหุบระหว่างประเทศอิสราเอลและจอร์แด

คำล่ำว่าลือโคลนที่นี่มีสรรพคุณเกี่ยวกับสุขภาพและความงาม เนื่องจากเป็นทะเลสาบปิด ที่แร่ธาตุนานาชนิดพากันหลั่งไหลมาทับถมมากมายขนาดสามารถพยุงน้ำหนักให้คนลอยคอ อยู่เหนือน้ำได้ "ไม่มีวันจม" และไม่มีสิ่งมีชีวิตใดสามารถอาศัยอยู่ได้ ที่มาของชื่อทะเลตาย- Dead Sea นอกจากความน่าตื่นเต้นจากแร่ธาตุมหาศาลก่า 30 % ของน้ำในทะเลสาบ เสน่ห์ของเเซีอีกอย่างก็คือ หมู่บ้าน Ein Bokek ที่ตั้งของซีนาก็อก หรือ โบสถ์ยิว ริมทะเลสาบซึ่งว่ากันว่าเป้นจุดต่ำสุดของโลก ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลถึง 393.5 เมตร

นักท่องเที่ยวนิยมมาใช้บริการศูนย์บริการริมทะเลสาบเพื่อเปลี่ยนชุดให้เหมาะสมที่จะพอกโคลน และลอยคอ บริเวณชายหาดจะมีถังโคลนใบใหญ่เพื่อให้นักท่องเที่ยวนำโคนสีดำจากทะเลสาบมาป้สยตามร่างกาย นักท่องเที่ยวบางคนเชื่อว่าการป้ายโคลนจากทะเลสาบนี้แร่ธาตุจะสามารถซึมผ่านผิวหนังไปแปรสภาพผิวให้งดงามได้ กิจกรรมสำคัญของทะเลสาบเดดซีคือการนอนลอยคอกลางทะเลสาบ

เนื่องจากเดดซีเป็นทะเลสาบปิดต่ำกว่าน้ำทะเลมากจึงไม่มีทางไหลออก และตั้งอยู่ในหุบระหว่าง ประเทศอิสราเอลและจอร์แดน ดังนั้นการเกิดคลื่นลมจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากมาก




เกรท แบริเออร์ รีฟ (แนวปะการังใหญ่) Great Barrier Reef


Great Barrier Reef


สถานที่ตั้ง : แหลมเคปยอร์ค รัฐควีนแลนด์ ประเทศออสเตรเลีย
เป็น "สิ่งก่อสร้างที่มีชีวิต" ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตในทะเลที่สดใส รวมทั้งปะการังชนิดอ่อน และชนิดแข็ง สีสวยกว่า 350 ชนิด ตลอดจนปลา และสิ่งมีชีวิตในทะเลที่น่าพิศวงต่าง ๆ อีก 1500 ชนิด แนวปะการังนี้เริ่มตั้งแต่แหลมเคปยอร์ค (Cape York) ซึ่งอยู่ไกลขึ้นไปทางเหนือของรัฐควีนแลนด์ ลงมาถึงบันดะเบอร์ก (Bundaberk) ทางตอนใต้ แนวปะการังอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ อยู่ในความดูแลขององค์การสวนทางทะเล เกรท แบริเออร์ รีฟ (The Great Barrier Reef Marine Park Authority) และครอบคลุมดูแลพื้นที่ 215,000 ตารางไมล์ หรือ 345,000 ตารางกิโลเมตร ของน่านน้ำรอบ ๆ แนวปะการัง เป็นสวนทางทะเลที่ใหญ่ทีสุดในโลกสิที่ได้รับการดูแลและปกป้องอย่างดี แนวปะการังซึ่งดูเหมือนกับป่าใต้น้ำนี้ เจริญเติบโตในเขตทะเลร้อน กระแสน้ำอุ่น และเป็นที่อยู่อาศัยอย่างหนาแน่นของชีวิตสัตว์ทะเลที่ต่าง ๆ กันได้แก่ ฟองน้ำ 10,000 ชนิด ปะการัง 350 ชนิด หอย 4,000 ชนิด ปลาดาวและซี เออร์ชิน (Sea Urchin)ซึ่งเป็นสัตว์ประเภทคล้ายหอย 350 ชนิด และปลามากกว่า 1,500 ชนิด นักดำน้ำประมาณว่าจะต้องดำน้ำถึงพันครั้งทจึงจะได้เห็นจุดเด่นของปะการังแห่งนี้ทั้งหมด สำหรับนักเดินทางที่ไม่ถนัดเรื่องกีฬาดำน้ำ ก็ไม่ต้องตระหนกตกใจจนไม่กล้าไปเยือน เพราะเขามีวิถีทางชื่นชมความงามของสวนใต้น้ำต่าง ๆ กันไป เช่น มีเรือท้องกระจก หรือเรือกึ่งเรือดำน้ำ โดยไม่ต้องกระโดดลงไปในทะเลตัวเปียกปอนเปล่า ๆ หรือถ้าไม่เชี่ยวชาญการดำน้ำแบบใช้ท่อออกซิเจน แค่ดำน้ำใช้ท่อหายใจทางปากอย่างที่หลายคน โดยเฉพาะเด็ก ๆ ใช้กันธิคุณก็จะมีโอกาสได้เพลิดเพลินกับความประหลาดมหัศจรรย์ของแนวปะการัง บริเวณพื้นที่แนวปะการังและเกาะควีนแลนด์ ซึ่งมีพื้นที่กว้างไกลกว่า 1,562 ไมล์ หรือ 2,500 ก.ม. มีแนวปะการังมากกว่า 2,900 แนว รวมทั้งมีเกาะขนาดต่าง ๆ กันและเกาะที่เกิดจากการรวมตัวของแนวปะการังอีกหลายร้อยเกาะ แนวปะการังใหญ่นี้ถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วนชัดังนี้ แนวปะการังเหนือ (Northern Reef) หมู่เกาะวิทซันเดย์ (Whitsunday Island) แนวปะการังใต้ (Southern Reef) ด้วยความเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติขนาดมหึมา จึงได้รับการพิจารณาจากองค์การ UNESCO ให้อนุรักษ์เป็นมรดกโลก (World Heritage List) และอาจเป็นเพราะความสัมพันธ์ทางระบบนิเวศซึ่งมรดกโลกมหึมานี้ยังเป็นที่อยู่ให้กับสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ อีกทั้งปลา หอย งู ปลาวาฬ เต่า รวมแล้วมากกว่า 6,000ยชนิดนอกจากนี้ยังพบว่าเป็นบริเวณที่มีพยูนอาศัยมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกอีกด้ว

วันเสาร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2553

สับปะรดช่วยระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง

สับปะรดเป็นผลไม้ที่หารับประทานได้ในบ้านเราตลอดทั้งปี มีประโยชน์ต่อสุขภาพจนไม่ควรมองข้าม เรามาทำความรู้จักความดีของสับปะรดกันดีกว่า

1.
ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง รับประทานสับปะรดวันละหนึ่งชิ้น ก็จะช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามินซี ที่สำคัญคือวิตามินซีช่วยในการทำงานของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน และยังช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายติดเชื้อ และต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆ การรับประทานสับปะรดวันละหนึ่งชิ้นจึงเป็นการเพิ่มแรงต้านโรคให้แก่ร่างกาย แต่ในผู้ที่มีเลือดจางไม่ควรกินมากนัก

2. ช่วยในการย่อยอาหาร สับปะรดมีกากใยอาหารมาก ซึ่งมีความสำคัญกับการย่อยอาหาร และเป็นที่รู้กันอยู่ว่ากากใยอาหารช่วยลดคอเลสเตอรอล ควบคุมน้ำตาลในเส้นเลือด และช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง

3. ช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดี สับปะรดมีสารแอนตี้ออกซิแดนต์ เช่น วิตามินซี เบต้าแคโรทีน และแมงกานีส ที่จะช่วยป้องกันอันตรายจากอนุมูลอิสระ ที่จะทำลายโครงสร้างของเซลล์ และอาจทำให้เป็นโรคหัวใจและอัมพฤกษ์ อัมพาต นอกจากนี้ สารแอนตี้ออกซิแดนต์ยังมีความสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอีกด้วย

4. ป้องกันความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง การรับประทานผักและผลไม้เป็นประจำ และลดการสูบบุหรี่ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งเต้านม เพราะสับปะรดมีสารแอนตี้ออกซิแดนต์ที่ช่วยป้องกันอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นตัวการก่อมะเร็ง และจากการศึกษาพบว่า เอนไซม์ Bromelain ในสับปะรดจะช่วยป้องกันการเติบโตของเซลล์ร้ายในปอด ป้องกันมะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งรังไข่

5. ช่วยป้องกันโรคต่างๆ การรับประทานผักและผลไม้ให้ได้วันละ 5 กำมือ จะช่วยลดการเสียชีวิตด้วยโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น อัมพฤกษ์ อัมพาต หรือมะเร็ง ได้ถึง 20%

6. ช่วยให้เหงือกแข็งแรง สับปะรดช่วยให้สุขภาพในช่องปากแข็งแรง เนื่องจากสับปะรดมีวิตามินซีสูงที่จะช่วยป้องกันความเสี่ยงจากโรคเหงือกได้

7. ช่วยยับยั้งการอักเสบ เอนไซม์ Bromelain ในสับปะรดจะช่วยยับยั้งการอักเสบ ทั้งนี้ ชาวอเมริกาใต้โบราณ ใช้สับปะรดเป็นยารักษาโรคผิวหนังและรักษาบาดแผล

Healthy Fruits(มะละกอ)

ผลไม้เพื่อสุขภาพ Healthy Fruitsในเมืองไทยมีมากมายไม่ว่าจะเป็น มะละกอ กล้วย ส้ม สัปปะรด แก้วมังกรและอีกหลายชนิดที่มีทั้งประโยชน์ต่อสุขภาพแ ละมีสรรพคุณในการบรรเทารักษาโรคอีกด้วย เนื่องจากเพื่อสุขภาพมีมากมายหลายชนิด จึงขอพูดถึงผลไม้ที่อยู่ใกล้ตัวเรามากที่สุดและพบเห็ นได้บ่อยในชีวิตประจำวันนั่นคือ มะละกอ

มะละกอ เป็นผลไม้เพื่อสุขภาพชนิดหนึ่ง เป็นพืชยืนต้น ลำต้นตั้งตรง เนื้ออ่อน สูงประมาณ 3-4 เมตร ผลของมะละกอมีทั้งรูปทรงยาวรี กลม เปลือกของผลมะละกอเมื่อดิบจะมีสีเขียวแต่พอมะละกอสุก จะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง-แสด มะละกอเป็นพืชที่ปลูกง่ายไม่ต้องดูแลมากเพียงคอยระวั งอย่าให้เกิดน้ำท่วมหรือน้ำขังบริเวณที่ปลูกมะละกอก็ พอ

การปลูกมะละกอ เนื่องจากมะละกอถือเป็นพืชผักพื้นบ้านชนิดหนึ่งจึงนิ ยมปลูกในบริเวณรั้วบ้าน มะละกอเป็นพืชที่ทนความแห้งแล้งได้ดีพอควร จึงไม่ต้องการการดูแลเอาใจใส่มากนัก การปลูกมะละกอจึงง่ายแต่ประโยชน์ที่ได้รับจากการนำส่ วนต่างๆ ของต้นมะละกอไปใช้งานหรือบริโภคนั้นมีมากมายหลายประก าร อาจพูดได้ว่า มะละกอเป็นผลไม้สารพัดประโยชน์เลยทีเดียวก็ได้

ประโยชน์ของมะละกอ มะละกอถูกนำไปใช้ประโยชน์เกือบทุกส่วนของต้น เริ่มจากส่วนใบและยอดของมะละกอสามารถใช้เป็นผักเพื่อ ปรุงอาหารได้ ส่วนลำต้นของมะละกอหากปอกเปลือกออกจะเห็นเนื้อภายในส ีขาวครีม มีลักษณะอ่อนนุ่มคล้ายหัวผักกาดของจีน สามารถนำมาประกอบอาหารได้เช่นกัน(ดองเค็ม-ตากแห้ง) เป็นอาหารที่มีประโยชน์และคุณค่าทางโภชนาการสูง ให้สารอาหารต่างๆ เช่น วิตามินเอ วิตามินบี แคลเซียม ธาตุเหล็กและวิตามินซี สารอาหารเหล่านี้ล้วนเป็นประโยชน์ต่อร่างกายทั้งสิ้น

ผลมะละกอ(โดยเฉพาะผลดิบ)จะมียางสีขาวข้นที่นำมาใช้ประโยชน์โดยสกัดเป็นเอนไซม ์ปาเปอีน(Papain) ที่ใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางและยังใช้หมักเนื้อ(ป รุงอาหาร)ทำให้เนื้อนุ่มอีกด้วย ประโยชน์ของยางมะละกอถูกใช้ในการปรุงอาหารโดยใส่ในหม ้อขณะต้มเนื้อเพื่อเร่งให้เนื้อเปื่อยเร็วขึ้น ผลมะละกอทั้งผลดิบและผลสุกยังมีประโยชน์อีกหลายอย่าง ผลมะละกอดิบมีสรรพคุณทางยาสามารถใช้เป็นพืชสมุนไพรช่ วยขับปัสสาวะ เป็นยาระบายอ่อนๆ นอกจากนี้ผลมะละกอดิบยังนำไปใช้ทำเป็นเครื่องดื่มสมุ นไพรคือ ชามะละกอที่มีสรรพคุณในการช่วยล้างลำไส้ โดยบริเวณผนังลำไส้ของคนเราจะมีคราบไขมันเกาะติดอยู่ เนื่องจากการกินอาหารที่ผัดด้วยน้ำมันเป็นประจำ คราบไขมันนี้จะเป็นตัวคอยขัดขวางไม่ให้ร่างกายดูดซึม สารอาหารไปใช้ได้อย่างเต็มที่ การดื่มชามะละกอเป็นประจำจึงเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพช่ วยล้างคราบไขมันที่ผนังลำไส้ทำให้ระบบดูดซึมสารอาหาร ของลำไส้ทำงานได้อย่างเต็มที่

ประโยชน์ของมะละกอดิบที่เป็นที่รู้จักกันดีอีกอย่างหนึ่งคือการนำไปปรุงเป ็นอาหาร ส้มตำซึ่งถือว่าเป็น อาหารเพื่อสุขภาพที่คนรู้จักกันดี ส่วนผลมะละกอสุกมีประโยชน์หลายอย่างไม่แพ้ผลมะละกอดิ บเลยคือการกินผลมะละกอสุกจะช่วยบำรุงธาตุ เป็นตัวช่วยย่อยอาหารทำให้ระบบขับถ่ายดีและยังมีสรรพ คุณเป็นยาระบายอ่อนๆ ทำให้ท้องไม่ผูก ผลมะละกอสุกยังนำไปทำเป็นเครื่องดื่มคือ น้ำมะละกอใช้ดื่มหลังอาหารช่วยในการย่อยอาหารและลดกรดในกระเพา ะอาหารทำให้ลำไส้ทำงานได้ดีขึ้นเนื่องจากในผลมะละกอม ีเอนไซม์ปาเปอีน(Papain) นั่นเอง

มะละกอสุกยังมีประโยชน์อีกอย่างที่สำคัญคือ ในผลสุกจะมีวิตามินเอ แคลเซียม วิตามินบี1 วิตามินบี2 และสารอาหารที่สำคัญสำหรับคุณสาวๆ นั่นคือ เบต้าแคโรทีนซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีสรรพคุณ ในด้านความงามเช่น บำรุงผิวพรรณ ลดริ้วรอยก่อนวัยอันควร ชะลอความแก่ ฯลฯ นับได้ว่ามะละกอเป็นผลไม้เพื่อความงามก็ไม่น่าจะผิด

ประโยชน์ของมะละกอที่มากมายทั้งสรรพคุณทางยาและประโยชน์ของมะละกอในด้า นช่วยบำรุงความงามของสตรีและให้สารอาหารที่เป็นประโย ชน์ต่อร่างกาย เพียงเท่านี้ก็ทำให้มะละกอเป็น ผลไม้เพื่อสุขภาพได้อย่างแท้จริง