วันพุธที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ปลาหิมะเปื้อนสารปรอท อย่าตกใจ กินปลาไทยดีกว่า



กรมอนามัย” แนะกินปลาไทย ถูกและได้โอเมก้า 3 ไม่แพ้ปลาน้ำลึก แถมถูก สด ปลอดภัย

สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) โดยกองงานด่านอาหารและยา ได้สุ่มตรวจอาหารแช่แข็งและส่งให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ตรวจหาสารอันตราย เช่น สารปรอท ตะกั่ว ฟอร์มาลิน เป็นต้น ซึ่งผลการตรวจพบปลาหิมะแช่แข็งที่นำเข้าจากประเทศอุรุกวัย มีสารปรอทสูงเกินมาตรฐานที่กำหนด

ทั้งนี้ ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ได้กำหนดให้มีสารปรอทได้ไม่เกิน 0.5 มิลลิกรัม/อาหาร 1 กิโลกรัม

สำหรับอาหารทะเล และ 0.02 มิลลิกรัม/ อาหาร 1 กิโลกรัม สำหรับอาหารอื่น ๆ

นายวิชาญ มีนชัยนันท์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ปลาหิมะ (Sable Fish) เป็นปลาที่อาศัยตามก้นทะเลลึก แพร่กระจายอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิคเหนือ มีโอกาสปนเปื้อนสารปรอท จากการดูดซึมและสะสมสารปรอทจากสิ่งแวดล้อมที่อยู่อาศัย

ความเป็นพิษของสารปรอทมี 2 ลักษณะคือ พิษเฉียบพลัน เกิดจากการได้รับ สารปรอทคราวเดียวกันในปริมาณมาก จะทำให้มีอาการไข้ หายใจลำบาก ปอดอักเสบ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ภาวะไตวาย ถ่ายเเป็นเลือด การเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อผิดปกติ ซึ่

หากบริโภคสารปรอทในปริมาณ 1 กรัม อาจทำให้เสียชีวิตได้ และอีกลักษณะหนึ่งคือ พิษเรื้อรัง เกิดจากการได้รับสารปรอทสะสมทีละน้อย เป็นเวลานาน จนเกิดพิษทางสมอง ไต ผิวหนัง ทำให้มีอาการสั่น ชัก ปวดปลายมือปลายเท้า ปวดศีรษะ หงุดหงิด ขี้ลืม ประสาทหลอน เลือดออกง่าย มีอาการทางตับและไต

อย่างไรก็ตาม รมช.สาธารณสุขบอกว่า ผู้บริโภคอย่าได้ ตื่นตระหนกไป เพราะโดยปกติ การรับประทานปลาหิมะในแต่ละครั้งจะไม่เกิน 200 กรัม อาจมีการ ปนเปื้อนปรอทเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ก่อให้เกิดการสะสมจนทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพผู้บริโภค อีกทั้ง ร่างกายมนุษย์มีกลไกที่สามารถขับสารปรอทออกได้ตามธรรมชาติ

กระทรวงฯได้สั่งการให้ อย. สุ่มตัวอย่างอาหารส่งวิเคราะห์เพื่อหาสารพิษ ในเขต กทม. แล้ว ปรากฏว่าไม่พบสารปรอทเกินปริมาณที่กำหนดแต่อย่างใด

ผู้ประกอบการรายนี้ อย. ได้ดำเนินการทางกฎหมาย โดยการเปรียบเทียบปรับบริษัทและผู้ประกอบการแล้ว ซึ่งการตรวจพบอาหารนำเข้าที่มีสารปนเปื้อนเกินมาตรฐานที่กำหนด ดังเช่นกรณีดังกล่าว อย. จะขึ้นบัญชีการจับตาตรวจสอบอย่างเข้มงวดเป็นพิเศษ (Black list) กับผู้ประกอบการ รายนั้นทันที โดยหากจะนำเข้าครั้งต่อไป จะต้องถูกสุ่มตรวจอย่างละเอียดจนกว่าพบว่าปลอดภัย 3 ครั้ง จึงจะหลุดจากบัญชีการจับตาตรวจสอบอย่างเข้มงวดเป็นพิเศษได้


นพ.ณรงค์ศักดิ์ อังคะสุวพลา อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า การกินปลามีประโยชน์ โดยปลาแบ่งเป็นหลายประเภท ทั้งปลาน้ำจืด ปลาทะเล และปลาน้ำลึก ซึ่งมีความเชื่อว่า เนื้อปลาน้ำลึกจะมีประโยชน์มากต่อร่างกาย และมีสารอาหารมากกว่าปลาประเภทอื่น โดยเฉพาะโอเมก้า 3 ที่มีปริมาณสูง ซึ่งปลาหิมะเป็นปลาชนิดหนึ่งที่จัดอยู่ในกลุ่มปลาประเภทนี้ แต่เมื่อเราเทียบปริมาณสารอาหารที่ได้รับกับราคานั้น เรียกว่าเป็นราคาที่สูงพอสมควร

ทั้งนี้คนนิยมกินปลาหิมะน่าจะมาจากรสนิยม และรสชาติของเนื้อปลาที่แตกต่างจากบ้านเรา คือ จะนิ่ม ไร้ก้าง และมีความมัน แต่หากเปรียบเทียบในเรื่องคุณค่าทางอาหารแล้ว ปลาในบ้านเราก็มีคุณค่ามากมายไม่แพ้กัน และยังมีรสชาติที่ดี ซึ่งหากกินเป็นประจำก็จะเสริมร่างกายได้ไม่แพ้กัน

นอกจากเมื่อเปรียบเทียบในเรื่องความสด ปลาในบ้านเรายังมีความสดและปลอดภัยมากกว่า เพราะไม่ต้องผ่านการขนถ่าย นำเข้าจากต่างประเทศ ที่ต้องผ่านกระบวนการคงความสดเพื่อให้ปลาไม่เน่าและอยู่ได้นาน ซึ่งจะส่งผลเสียต่อร่างกายได้ ส่วนปลาน้ำจืดนั้น อย่างเช่น ปลาดุก ปลาช่อน ก็มีโอเมก้า 3 เช่นกัน แต่อาจมีปริมาณไม่มากเท่าปลาจากทะเลน้ำลึก แต่ถ้าความสดและความปลอดภัยคงมีมากกว่า

“ปลาบ้านเรา มีราคาถูก และรสชาติดี อย่างเช่น ปลาทู ที่หาได้ง่าย หากกินคู่กับน้ำพริกกะปิแล้ว ก็มีรสที่ดี และเมื่อกินกับผักด้วยแล้ว ก็จะทำให้เราได้สารอาหารจำพวกวิตามินด้วย อย่างเช่น ใบบัวบก ซึ่งกินแล้วจะช่วยเสริมความจำเช่นเดียวกับใบแปะก๊วย” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว และว่า อย่างไรก็ตามหากกินปลาหิมะนานๆ ครั้ง ก็ได้ แต่หากกินเป็นประจำไม่แนะนำเพราะมีราคาที่สูงเกินไป โดยเฉพาะในยุคที่เศรษฐกิจทีกำลังประสบปัญหา

กินปลาต้านเบาหวาน



ประเทศไทยมี ผู้ป่วยเบาหวานแล้วกว่า 3 ล้านคน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

องค์การอนามัยโลกประเมินว่า ปัจจุบันทั่วโลกมีผู้ป่วยเบาหวาน 194 ล้านคน และจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 300 ล้านคน ในปี พ.ศ. 2568 ขณะที่

ศ.นพ.สุรัตน์ โคมินทร์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนวิทยาคลินิกและโรคเบาหวาน โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า เบาหวานมี 2 ชนิด โดยเบาหวานชนิดที่ 1 เป็นชนิดที่มีความรุนแรงและมักเกิดกับเด็ก เกิดจากความผิดปกติของการอักเสบของตับอ่อนที่อาจเกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง ส่งผลให้อินซูลินที่ควบคุมน้ำตาลทำงานบกพร่อง ส่วนเบาหวานชนิดที่ 2 มาจากความอ้วนเกิดจากพฤติกรรมการบริโภค ส่งผลให้ตับอ่อนที่ผลิตอินซูลินต้องทำงานหนักมากขึ้น

การบริโภคเนื้อปลาช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงโรคเบาหวานทั้ง 2 ชนิดได้ เพราะโอเมก้า 3 ในปลาจะช่วยลดการอักเสบของตับอ่อนลงได้ นอกจากนี้ปลายังมีคุณภาพโปรตีนที่สูงกว่าเนื้อวัวและเนื้อหมู เรียกว่าเป็นโปรตีนชั้นเลิศ ช่วยให้อิ่มเร็วและย่อยง่าย ป้องกันการเกิดโรคอ้วน ดังนั้นควรกินปลาอย่างสม่ำเสมอ

โอเมก้า 3 มีสารอาหารที่มีอยู่ทั้งในปลาน้ำจืดและปลาทะเล มีส่วนช่วยป้องกันการเกิดโรคเบาหวานและหัวใจได้ และช่วยในการพัฒนาเซลล์สมอง ลดไขมันในเลือด และช่วยให้การเต้นของหัวใจเป็นปกติได้ ทั้งนี้มีรายงานการวิจัยของกรมประมงยืนยันว่า ผู้ที่กินปลาน้ำจืดจะไม่มีอาการแพ้ ต่างจากการกินปลาทะเลที่บางคนอาจเกิดอาการแพ้ได้ ดังนั้นผู้ที่มีอาการแพ้ง่ายควรเลือกกินปลาน้ำจืดแทน

นพ.ฆนัท ครุฑกูล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจ โภชนวิทยาคลินิกและโรคเบาหวาน โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า ควรกินปลาอย่างน้อย 2 มื้อต่อสัปดาห์ แต่คนไทยกินปลาน้อยมาก เพียง 32 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ขณะที่คนอเมริกันกินปลา 50 กิโลกรัมต่อคนต่อปี และคนญี่ปุ่นกินถึง 69 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ทั้งนี้เมื่อเปรียบเทียบคุณค่าสารอาหารในปลาทะเลและปลาน้ำจืด พบว่าไม่แตกต่างกันมาก แต่จะขึ้นอยู่กับประเภทของเนื้อปลามากกว่า โดยเฉพาะโอเมก้า 3 ปลาที่มีไขมันมากก็จะมีปริมาณโอเมก้า 3 มากกว่า เช่น ปลาแซลมอน และปลาสวาย ส่วนปลากลุ่มที่มีไขมันน้อยก็จะมีโอเมก้า 3 น้อยกว่า แต่จะมีปริมาณโปรตีนมากกว่า เช่น ปลากะพง ปลานิล เป็นต้น ดังนั้นจึงไม่เกี่ยวว่าปลาทะเลจะมีโอเมก้า 3 มากกว่าปลาน้ำจืดเสมอไป ต้องดูลักษณะของเนื้อปลาเป็นหลัก อย่างไรก็ตามผู้บริโภคสามารถกินปลาได้จากทั้ง 2 แหล่ง และกินได้ในปริมาณที่ไม่จำกัด

ข้อดีของปลาทะเล คือ มีโปรตีนและไอโอดีนสูง ช่วยป้องกันภาวะขาดสารไอโอดีน แต่มีข้อเสีย คือ อาจมีสารตกค้างจำพวกปรอทและตะกั่วได้ เพราะอาจมีการปนเปื้อนจากน้ำทะเล จากโรงงานอุตสาหกรรมที่ปล่อยน้ำเสียลงทะเล ขณะที่ปลาน้ำจืดสามารถควบคุมได้ เพราะส่วนใหญ่เป็นการเลี้ยง ในฟาร์ม

สำหรับผู้ที่ชื่นชอบไข่ปลา ในไข่ปลาแม้ว่าจะมีโอเมก้า 3 สูง แต่ก็มีคอเลสเตอรอลสูงเช่นกัน ดังนั้นผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ ควรระมัดระวังไม่ควรกินในปริมาณมาก ส่วนการกินปลาดิบก็ไม่ได้ให้คุณค่าสารอาหารมากกว่าปลาที่ผ่านการปรุงสุกแล้ว เป็นเพียงค่านิยมที่เชื่อว่ามีรสชาติที่ดีกว่า ทั้งยังเสี่ยงต่อการเกิดโรคจากพยาธิได้

ในบ้านเรามีปลาสวายมาก และราคาถูก แต่มีปริมาณโอเมก้า 3 สูงถึง 2,570 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม เมื่อเปรียบกับปลาแซลมอนพบว่ามีปริมาณโอเมก้า 3 น้อยกว่า โดยอยู่ที่ 1,000-1,700 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม ขณะนี้ปลาสวายเป็นที่ต้องการของตลาดต่างประเทศมาก โดยเฉพาะยุโรป เนื่องจากเป็นปลาเนื้อขาวซึ่งปลาเนื้อขาวถือว่ามีคุณค่าทางอาหารสูงกว่าปลาเนื้อสี ดังนั้นปลาสวายจึงมีราคาสูงมากในยุโรป และมีแนวโน้มการส่งออกที่มากขึ้น แต่ในประเทศกลับไม่เป็นที่นิยม.

ลดปริมาณฟลูออไรด์ในน้ำบรรจุขวด ลดปัญหากระดูกเปราะ



นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ได้ลงนามในประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่ 6 เรื่องการควบคุมปริมาณฟลูออไรด์ในน้ำดื่มที่บรรจุในภาชนะที่ปิดสนิท จากเดิม 1.5 มิลลิกรัมต่อลิตรเป็น 0.7 มิลลิกรัมต่อลิตร ทั้งนี้เพื่อลดความเสี่ยงและคุ้มครองประชาชนไม่ให้ได้รับฟลูออไรด์มากเกินจนเกิดผลเสียต่อสุขภาพ โดยเฉพาะเด็กที่กินน้ำบรรจุขวดตั้งแต่เกิดอาจทำให้เด็กทุกคนมีปัญหากระดูกผิดปกติและฟันตกกระได้

นายจุรินทร์กล่าวว่า เนื่องจากครัวเรือนในปัจจุบัน มีแนวโน้มการใช้น้ำดื่มบรรจุขวดเพิ่มมากขึ้น จากผลการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติครั้งล่าสุดเมื่อปี 2550 พบแหล่งน้ำดื่มครัวเรือนทั่วประเทศเป็นน้ำดื่มบรรจุขวดถึงร้อยละ 29 หรือประมาณ 1 ใน 4 ของน้ำที่ใช้ดื่มทั้งหมด

ทางด้านนายแพทย์พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า ฟลูออไรด์มีประโยชน์จะช่วยป้องกันโรคฟันผุ โดยทั่วไปร่างกายจะได้รับจากการบริโภคน้ำดื่มและอาหาร จากการศึกษาความสัมพันธ์ของฟลูออไรด์กับฟันตกกระในประเทศไทยโดยกรมอนามัย พบการดื่มน้ำที่มีฟลูออไรด์ 0.7 มิลลิกรัมต่อลิตรขึ้นไปจะทำให้ฟันตกกระ และเมื่อประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดฟันตกกระในเด็กไทยกับฟลูออไรด์ในน้ำดื่มและในยาสีฟัน พบว่าเด็กอายุ 3 ปีที่ดื่มน้ำมีฟลูออไรด์ 1.5 มิลลิกรัมต่อลิตรซึ่งเป็นเกณฑ์ควบคุมน้ำดื่มบรรจุขวดที่มีตามประกาศฯในปัจจุบัน จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดฟันตกกระเป็นเท่าตัว เมื่อเทียบกับเด็กที่ดื่มน้ำมีฟลูออไรด์ 0.7 มิลลิกรัมต่อลิตร ทั้งนี้ผลสำรวจสถานการณ์ปริมาณฟลูออไรด์ในน้ำดื่มบรรจุขวดทั่วประเทศพบมีปริมาณฟลูออไรด์มากกว่า 0.7 มิลลิกรัมต่อลิตรร้อยละ 2.24 หรือประมาณ 100 แห่ง ดังนั้น อย.จึงได้กำหนดให้น้ำดื่มบรรจุขวดมีฟลูออไรด์ไม่เกิน 0.7 มิลลิกรัมต่อลิตร เพื่อไม่ไห้ส่งผลต่อสุขภาพของเด็ก โดยประกาศกระทรวงฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้หลังลงราชกิจจานุเบกษาแล้ว 180 วัน


นายแพทย์พิพัฒน์ กล่าวต่อไปว่า อันตรายจากการได้รับฟลูออไรด์มากเกินไปจะเกิดโทษต่อร่างกาย 2 ลักษณะ คือ พิษแบบเฉียบพลัน มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสีย และหากเด็กได้รับในปริมาณ 5 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว มีผลต่อระบบหัวใจทำให้เสียชีวิตได้ โทษอีกลักษณะหนึ่งคือ การเป็นพิษแบบเรื้อรัง เกิดจากการได้รับฟลูออไรด์จากน้ำดื่มที่มีฟลูออไรด์มากกว่า 0.7 มิลลิกรัมต่อลิตรเป็นประจำติดต่อกัน ซึ่งหากได้รับตั้งแต่เกิดจนถึง 8 ปีเป็นช่วงที่ฟันแท้กำลังสร้างก็จะทำให้ฟันตกกระ ฟันแท้มีสีขาวขุ่นจนถึงขั้นฟันลาย หรือมีสีน้ำตาล ฟันตกกระยังเกิดได้จากการได้รับฟลูออไรด์แหล่งอื่นด้วย เช่น ในเด็กที่กลืนยาสีฟันที่ผสมฟลูออไรด์ ขณะแปรงฟันเป็นประจำ หรือการใช้ฟลูออไรด์เสริมที่ไม่เหมาะสม เช่น กินฟลูออไรด์เม็ดหรือนมฟลูออไรด์มากเกินกำหนด

นอกจากนี้ องค์การอนามัยโลก ได้มีคำเตือนไว้ว่า ในผู้ที่บริโภคน้ำมีฟลูออไรด์ตั้งแต่ 4 มิลลิกรัมต่อลิตรขึ้นไปเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดความผิดปกติที่กระดูก เนื่องจากมีฟลูออไรด์สะสมที่กระดูกมาก ทำให้กระดูกหนา กระดูกขาผิดรูปร่างโก่งงอ หรือมีกระดูกงอกบริเวณที่เกาะของเอ็นและกล้ามเนื้อ กดทับเส้นประสาท ทำให้ปวดข้อ เคลื่อนไหวลำบากหรือจนถึงขั้นพิการได้

เตือนผู้ปกครอง ระวังไวรัสRSV คร่าชีวิตเด็กปีละ 2 แสน

เตือนภัยเมืองไทยโอกาสเสี่ยงสูง

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เตือนผู้ปกครองไทย ให้ระวังเด็กเล็กป่วยจากเชื้อไวรัส“อาร์เอสวี” ผลการศึกษาทั่วโลกล่าสุด พบไวรัสชนิดนี้ทำให้เด็กเป็นปอดบวม หรือปอดอักเสบ เสียชีวิตปีละ 200,000 ราย ขณะในปี 2552 มีเด็กไทยอายุต่ำกว่า 5 ปี ราว 1ใน 4 ติดไวรัสชนิดนี้ รวมกว่า 10,000 ราย

จากกรณีที่นิตยสารแลนเซต ประเทศอังกฤษ รายงานผลการศึกษาใหม่ของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเอดินบะระในสก็อตแลนด์ซึ่งเป็นการศึกษาระดับโลกครั้งแรก ค้นพบว่าไวรัสที่มีชื่อว่าอาร์เอสวี (RSV : respiratory syncytial virus) เป็นสาเหตุสำคัญที่สุดของการติดเชื้อในปอดของเด็ก ทำให้เกิดโรคปอดบวมหรือปอดอักเสบ คร่าชีวิตเด็กทั่วโลกปีละ200,000 ราย ส่วนใหญ่ร้อยละ 99 อยู่ในประเทศกำลังพัฒนา โดยมีเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีทั่วโลก ติดเชื้อไวรัสดังกล่าว 33.8 ล้านคน ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล 3.4 ล้านคน

นางพรรณสิริ กุลนารถศิริ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า การศึกษาวิจัยดังกล่าว นับเป็นประโยชน์กับประเทศไทยมากในการพัฒนาสุขภาพเด็กเล็ก โดยเฉพาะการป้องกันโรคปอดบวม ซึ่งเป็นสาเหตุการตายของเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี สูงเป็นอันดับ 1 ของโรคติดเชื้อทั้งหมด จากการเฝ้าระวังการป่วยของเด็กไทยอายุต่ำกว่า 5 ปีในปี 2552 พบว่าป่วยจากโรคปอดบวม 53,727 ราย เสียชีวิต 46 ราย โดยเกือบครึ่งหนึ่งติดเชื้อไวรัสหลายชนิด และมีประมาณ 10,000 กว่ารายติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวี หรือมีประมาณ 1 ใน 4 ของสาเหตุติดเชื้อทั้งหมด ที่เหลือติดเชื้อแบคทีเรีย

ในการป้องกันแก้ไขปัญหาดังกล่าว กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายพัฒนาศูนย์เด็กเล็ก ที่ดูแลเด็กต่ำกว่า 5 ปีทั่วประเทศให้มีคุณภาพ ไม่ให้เป็นแหล่งแพร่โรคติดเชื้อทุกชนิด โดยเฉพาะโรคทางเดินหายใจ เช่นไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ปอดบวม เนื่องจากจะติดต่อกันง่าย เพราะเด็กวัยนี้ไม่สามารถดูแลตัวเองได้ เมื่อมีเด็กป่วย 1 คน ก็อาจจะลุกลามไปได้ทั้งศูนย์ โดยมาตรการสำคัญในการป้องกันคือการล้างมือให้เด็กเล็กบ่อยๆ และพี่เลี้ยงเด็กก็ต้องล้างมือบ่อยๆเช่นกัน เมื่อมีเด็กป่วย หากเป็นไปได้ให้ผู้ปกครองรับกลับบ้าน แต่หากไม่สามารถรับกลับบ้านได้ ให้แยกเด็กและแยกเครื่องใช้ของเด็กป่วย ออกจากเด็กปกติ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรค

นายแพทย์มานิต ธีระตันติกานนท์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ไวรัสอาร์เอสวี ทำให้เกิดโรคปอดบวม หรือปอดอักเสบและโรคระบบทางเดินหายใจ สามารถติดเชื้อได้โดยตรงและเกิดเป็นโรคแทรกซ้อนรุนแรงในกลุ่มทารกที่คลอดก่อนกำหนด หรือมีความผิดปกติของหัวใจแต่กำเนิด ในประเทศไทยพบโรคนี้ได้ตลอดปี แต่จะพบมากในช่วงฤดูฝน ระหว่างเดือนกรกฎาคม – กันยายน อาการของโรคจะเริ่มจากเด็กเป็นไข้หวัดธรรมดาก่อน อาจมีไข้ต่ำๆ ไอ มีน้ำมูก แต่ต่อมาไข้จะสูงขึ้น หายใจลำบาก เด็กจะซึมลง ไม่กินน้ำ ไม่กินนม มีไข้สูง ไอ หายใจหอบเร็วและมีเสียงหวีดหรือฮื๊ด ซึ่งเป็นสัญญาณของอาการปอดบวมต้องรีบพาไปพบแพทย์โดยด่วน มิฉะนั้นอาจเสียชีวิตได้

นายแพทย์มานิตกล่าวต่อว่า ในการป้องกันโรคหวัด โรคปอดบวม ปอดอักเสบ ต้องเพิ่มภูมิต้านทานธรรมชาติให้แก่เด็ก โดยให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เด็กจะได้รับภูมิต้านทานจากแม่ผ่านทางน้ำนม เด็กจะไม่ป่วยง่าย ดูแลเด็กให้มีร่างกายแข็งแรง ล้างมือให้เด็กบ่อยๆ หลีกเลี่ยงพาเด็กไปในสถานที่แออัด ไม่พาเด็กไปใกล้คนป่วยหรือผู้ที่กำลังเป็นหวัด เด็กที่เลี้ยงในห้องแอร์ หรืออยู่ในที่มีอากาศเย็นเช่นในฤดูฝนหรือฤดูหนาว ขอให้ดูแลความอบอุ่น ใส่เสื้อผ้าหนาๆ โดยสามารถขอรับคำแนะนำในการดูแลสุขภาพเด็กจากกรมควบคุมโรค ที่หมายเลข 02-590-3183 หรือ 02-590 -3185 ในวันเวลาราชการ

วันอังคารที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2555

ปริศนาสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา



เรือเดินทะเลที่หายสาบสูญไปในสามเหลี่ยมเบอร์มิวดานั้น ส่วนมากจะเกิดขึ้นในบริเวณที่เรียกว่า "ทะเลซากัสโซ" และ สาเหตุที่ท้องมหาสมุทรแห่งนี้มีนามว่าทะเลซากัสโซ ก็เพราะอาณาเขตบริเวณแห่งนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วย สาหร่ายทะเลชนิดหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า สาหร่ายซากัสซั่ม โดยสาหร่ายชนิดนี้เป็นอุปสรรคต่อการเดินเรืออย่างยิ่ง และเหตุ เหตุการณ์ประหลาดลึกลับทางทะเลต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่โบราณกาล มักจะมีต้นตอมาจาก ทะเลซากัสโซเสียเป็นส่วนมาก ชาวฟีนีเชียนโบราณที่เคยใช้เรือเดินทางผ่านท้องทะเลมหาภัยแห่งนี้มา ตั้งแต่หลายพันปีก่อน ได้บันทึกปรากฏการณ์ประหลาดต่าง ๆ ไว้เป็นจำนวนมาก

ท้องทะเลซากัสโซ่ มีอาณาเขตบริเวณกว้างใหญ่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของมหาสมุทรแอ๊ตแลนติค บริเวณแห่งนี้จะเต็มไปด้วย สาหร่ายทะเลลอยฟ่องเต็มไปหมด - เมื่อตอนที่โคลัมบัสแล่นเรือผ่านท้องทะเลแห่งนี้เป็นครั้งแรก กลาสีเรือต่างตื่นเต้นที่คิดว่าเรือคงแล่นเข้าใกล้ฝั่งแห่งใดแห่งหนึ่งเข้า ไปแล้ว แต่แม้จะแล่นเรือต่อไปอีกนาน อาณาเขตของ สาหร่ายแห่งนี้ก็หาหมดลงไปไม่ อีกอย่างหนึ่งที่เป็นสัญลักษณ์ประจำของทะเลซากัสโซ คือ ภูเขาทะเล โดย ภูเขาทะเลก็คือภูเขาที่อยู่ใต้พื้นน้ำ แต่มีส่วนยอดแบนราบโผล่ขึ้นมาเหนือพื้นน้ำเล็กน้อย มองดูคล้ายเกาะ แต่ไม่มีพืชพันธ์ใดๆ นอกจากตระใคร่น้ำเกาะอยู่เท่านั้นทะเลซากัสโซไม่เพียงแต่เป็นท้องทะเลที่เต็มไปด้วยสาหร่ายยากแก่การเดินเรือ เท่านั้น แต่กิตติศัพย์ในความน่าสะพรึงกลัวของมันได้ถูกกล่าวขานกันอยู่เสมอ บ้างก็ให้เชื่อว่าเป็นทะเลแห่งความหายนะ หรือสุสานของเรือเดินสมุทรบ้างก็ว่าเป็นที่สิงสถิตของภูติผีปีศาจทะเล หรือสัตว์ร้ายดึกดำบรรพ์

เรื่องราวต่าง ๆ ที่พวกชาวเรือชอบนำมาเล่าสู่กันฟังเกี่ยวกับท้องทะเลจำนวนนับไม่ถ้วนก็คือ เรือจะถูกยึดนิ่งสงบรวมอยู่ในใจกลางของทะเลซากัสโซ่ ตั้งแต่สมัยการการเดินทางโดยทะเลของพวกฟินีเชียน ไวกิ้ง โรมัน หรือแม้แต่เรือต่าง ๆ ในสมัยกลางของยุโรป พวกเหล่านี้เชื่อว่าเรือเหล่านี้ลอยกองรวมกันพร้อมด้วยสมบัติมหาศาลที่ บรรทุกอยู่เหตุที่ไม่จมเพราะมีสาหร่ายจำนวนหนาแน่นรองรับอยู่ข้างใต้ มนุษย์ผู้พบท้องทะเลแห่งนี้เป็นพวกแรกเข้าใจว่าจะต้องเป็น พวกฟินีเชียนและพวกคาร์ธายิเนียนโบราณ ก็เพราะเป็นเวลา หลายพันปีแล้วที่พวกนี้เดินทางข้ามมหาสมุทรแอ๊ตแลนติคสู่อเมริกาหลักฐานที่ปรากฏคือ รอยแกะสลักบนแผ่นหินของพวกฟินีเชียน ที่พบอยู่ในประเทศบราซิลขณะนี้ และศิลาจารึกในสุสานฝังศพของ พวกคาร์ธายิเนียน เมื่อราว 500 ปี ก่อนคริศศักราชระบุว่าเหนือท้องทะเลแห่งนี้มีแต่ความอ้างว้างเงียบเหงา คล้ายกับสุสานใหญ่ที่มองจรดขอบฟ้าไปทุกด้าน ไม่มีแรงลม พอที่จะพัดพาเรือให้แล่นไปได้ ใต้พื้นน้ำเต็มไปด้วยสาหร่ายทะเลอย่างหนาทึบ ซึ่งยึดเรือทั้งหลายให้หยุดนิ่งอย่างกับกำลังมหาศาลของหนวดปลาหมึกยักษ์ ท้องทะเลบางแห่งก็ตื้นเขินซึ่งเป็นที่อาศัยของสัตว์ประหลาดมหึมาหลายสิบชนิด และบางครั้งมันก็ว่ายน้ำ เข้ามาทำลายเรือทั้งลำให้กลายเป็นผุยผงไปในพริบตา เรือ กูดนิว ซึ่งเป็นเรือลากจูงเครื่องดีเซล ซึ่งได้ทำสงครามชักคะเยอ กับพลังลึกลับในสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา และสามารถรอดพ้นอันตรายมาได้

ความลี้ลับของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา

สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นอาณาบริเวณส่วนหนึ่งของมหาสมุทรแอ็ตแลนติคภาคตะวันตก พื้นที่ทั้งหมดเริ่มจาก ตอนเหนือของเบอร์มิวดาไปถึงตอนใต้ของรัฐฟลอริดา-และ จากฟลอริดามุ่งตรงไปทางตะวันออกทำมุมสี่สิบองศากับเส้นรุ้ง ผ่านบาฮามัสและเปอร์โตริโก จากนั้นก็ย้อนเฉียงกลับไปสู่ทางใต้ตอนเหนือของเบอร์มิวดาอีกซึ่งทำให้อาณา บริเวณแห่งนี้ กลายเป็นรูปสามเหลี่ยม และ อาณาบริเวณรูปสามเหลี่ยมแห่งนี้เองที่เป็นแหล่งกำเนิด ปรากฏการณ์ อันลี้ลับ มหัศจรรย์ขึ้น ในยุคอวกาศของชาวเรา ในปัจจุบันเป็นสิ่งลึกลับและเหลือเชื่อหากจะบอกท่านว่า เริ่มตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ในปี ค.ศ. 1945 มาจนถึงปัจจุบัน เครื่องบินจำนวนกว่า 100 เครื่อง และเรือเดินสมุทร จำนวนอีกมากหลายได้ หายไปในบรรยากาศ และพื้นทะเลของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาแห่งนี้โดยไม่มีร่องรอย ชีวิตมนุษย์จำนวนพัน ในระยะเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา ได้หายไปพร้อมกับ พาหนะโดยไม่มีซากศพ แม้แต่รายเดียว หรือเศษชิ้นส่วนใดๆของเรือ หรือเครื่องบินที่หายไปเหลือให้เห็น การหายสาบสูญของเรือ เครื่องบิน และชีวิตมนุษย์ ในบริเวณดินแดนสามเหลี่ยม เบอร์มิวดายังคงปรากฏอยู่ต่อไป และมีปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่ชาติต่างๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสูญเสียเหล่านี้ ต่างก็พยายามดำเนินการค้นคว้า ก็หา สาเหตุแห่งปรากฏการณ์อันประหลาดและลึกลับนี้อย่างเร่งด่วน แต่ก็ไม่มีใคร สามารถบอกสาเหตุ และหาทางป้องกัน จากภัยที่เกิดขึ้นในบริเวณท้องทะเลแห่งนี้ได้ไม่

เครื่องบินที่หายไปเหนือพื้นทะเลแห่งนี้ ส่วนมากก่อนที่จะหายการติดต่อกับฐานปฏิบัติการณ์ หรือสถานีปลายทางเป็นไปอย่างปกติ และสภาพของบรรยากาศ และทัศนะวิสัย ก็สงบ และแจ่มใสดี ไม่มีวี่แววของพายุร้ายใดๆ แต่แล้ว เมื่อถึงบทจะหายเครื่องบินเหล่านั้นก็จะหายไปอย่างฉับพลันโดยไม่มีร่องรอย ซึ่งนักบินก็ไม่มีโอกาสที่จะแจ้งข่าว-ทาง วิทยุให้หน่วยควบคุม การบินทราบได้ แต่ก็มีเป็นจำนวนมากเหมือนกัน ก่อนที่เครื่องบินจะหายสาบสูญ นักบินมีเวลาพอที่จะแจ้งข่าวผิดปกติมายังฐานปฏิบัติการได้ ซึ่งทุก
รายต่างก็แจ้งตรงกันทั้งหมดว่า ไม่สามารถควบคุมกลไกต่างๆ ให้ดำเนินไปตามปกติได้ เข็มทิศประจำเครื่องจะหมุนปั่นไม่สามารถบอกทิศทางได้ ท้องฟ้าจะกลายเป็นสีเหลือง และมองดูคล้ายหมอกหนาทีบ ทั้งๆ ที่เป็นวันที่บรรยากาศแจ่มใส และแดดส่องจ้ามาก่อน และท้องทะเลซึ่งเงียบสงบ กลับปั่นป่วน ขึ้นมาโดยไม่อาจจะทราบสาเหตุได้

อุบัติการณ์ ลึกลับที่ไม่อาจให้คำอธิบายได้ เกี่ยวกับการสาบสูญของเรือเดินสมุทร และ เครื่องบินเป็นจำนวนมาก ในดินแดนแห่งสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาก็ยังคงเกิดขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ได้ขาด จนกระทั่งในปัจจุบัน ทุกครั้งที่ได้รับรายงานการสูญหาย หน่วยยามฝั่งที่เจ็ด ของกองทัพเรือสหรัฐ จะทำการค้นหาร่องรอยอย่างละเอียดละออ แต่ก็ประสบความ ล้มเหลวที่จะพบพยานหลักฐานซึ่งจะนำไปสู่การไขปัญหาลึกลับนี้ได้ทุกครั้ง และในที่สุดกองทัพเรือสหรัฐก็ได้เก็บเรื่องเหล่านี ้ไว้เป็นความลับ ไม่ยอมเปิดเผยหรือให้คำวิจารณ์ใดๆ แก่ประชาชน ที่อยากรู้อยากเห็นว่า อุบัติการณ์ ลึกลับเหล่านั้น เกี่ยวข้องกับความอาถรรพ์ของดินแดนแห่งสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาหรือไม่ แต่ทั้งๆ ที่กองทัพเรือสหรัฐพยายามจะปกปิด เรื่องราว เหล่านี้ไว้ ประชาชนทั่วไปก็เริ่มรู้ระแคะระคาย ต่างๆ และเชื่อว่า จะต้องมีแรงอาถรรพ์ หรือพลังอำนาจอันลึกลับ อย่างหนึ่งอย่างใด ภายในบริเวณ สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาอย่างแน่นอน และยิ่งปรากฏว่าเมื่อเร็วๆนี้ได้มีข่าวรายงานว่ามีนักบิน และนักเดินเรือบางคนได้รอดชีวิตมาจากปรากฏการณ์สยองขวัญ ในดินแดนของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา จึงทำให้ เกิดการฮือฮากันใหญ่ในขณะนี้ แต่อย่างไรก็ดีจวบจนกระทั่งบัดนี้หาได้มีผู้ใดที่สามารถให้คำอธิบายแจ่มชัด เกี่ยวแก่ความลึกลับ และความอาถรรพ์ของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาได้ และการสาบสูญ ก็ยังคงปรากฏอยู่ต่อไป โดยไม่มีทางป้องกันหรือขัดขวางได้

วิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นด้วยหลักการ

ใน บางกรณี หากวิเคราะห์ด้วยเหตุผลเกี่ยวกับการหาบสาบสูญของเรือเดินสมุทรและเครื่องบิน ในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา จะพบว่าหาเป็นเรื่องประหลาดลึกลับแต่อย่างใดไม่เพราะเครื่องบินแต่ละลำ เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับความกว้างใหญ่สุดคณานับของพื้นมหาสมุทรโลกแล้ว ก็เปรียบเสมือนฝุ่นละอองที่ล่องลอย อยู่ในห้องโถงใหญ่ น้ำในมหาสมุทรก็ไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับที่ แต่มีการเคลื่อนไหว กระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีม มีอัตราความเร็วกว่าสี่ไมล์ต่อชั่วโมง

ในท้องทะเลนอกฝั่งบาฮามัสมีสิ่งแปลกประหลาดอยู่สิ่งหนึ่งที่นักประดาน้ำ มักจะพบเห็นอยู่บ่อย ๆซึ่งพวกเขาเรียกว่า "ปล่องน้ำเงิน" จะปรากฏอยู่ตามหุบผาใต้น้ำและแหล่งหินประการัง มีลักษณะเป็นอุโมงค์หรือปล่องใต้ทะเล โดยทั่วไปเป็นที่อยู่ของปลาที่ไม่ค่อยได้พบกันที่ผิวน้ำ ปล่องเหล่านี้เชื่อว่า เกิดจากถ้ำหินประการังถูกกัดกร่อนด้วย -กระแสน้ำใต้ทะเลมาเป็นเวลานับหมื่นปี เคยมีนักประดาน้ำดำลงไป สำรวจปล่องต่างๆ นี้ พบว่าปล่องจำนวนมากต่างมีทางแยกออกไปในหลายทิศทาง ทำให้ปลาที่ว่ายวนอยู่ในนั้นเกิดสับสนถึงกับว่ายเอาครีบท้องขึ้นสู่เบื้องบน ยิ่ง กว่านั้นยังพบว่ากระแสน้ำไหลเชี่ยวแรงเข้าสู่ส่วนลึกคล้ายถูกดูดด้วยกำลัง อันมหาศาลซึ่งเป็นอันตราย ต่อนักประดาน้ำมาก และลักษณะการณ์เช่นนี้ทำให้น้ำบริเวณปากปล่องไหลวนเข้าไปภายในอย่างรวดเร็ว ก่อให้เกิดการหมุนเป็นกรวยเหนือพื้นน้ำในลักษณะของวังน้ำวน ซึ่งสามารถจะดึงดูดเรือเล็กพร้อมด้วยคนบนเรือ ลงสู่ก้นอย่างรวดเร็ว

อีกทฤษฏีหนึ่ง เป็นทฤษฏีเกี่ยวกับลมพายุทอนาโดซึ่ง เกิดเป็นครั้งคราว จะกวาดเรือและเครื่องบิน ให้จมลงสู่ก้นมหาสมุทรได้ไม่ยาก พายุทอร์นาโดเป็นพายุหมุนปั่นเอาน้ำทะเลหมุนเป็นเกลียวสูงนับร้อยๆ ฟุตกลางอากาศและหากมันเกิดตอนกลางคืน เครื่องบินที่บินอยู่ระดับต่ำอาจถูกกระแทกตกลงสู่ทะเลได้ ก็เพราะ นักบินไม่สามารถจะมองเห็นได้ในระยะไกล ส่วนเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ที่จมหายนั้น เชื่อว่าอาจจะเกิดจากกระแสคลื่นมหึมา ที่เป็นผลมาจากแผ่นดินไหวใต้ทะเลก็ได้ เพราะคลื่นที่เกิดจากปรากฏการณ์เช่นนี้จะมีความสูงร่วมร้อยฟุตเลยที่เดียว

ปรากฏการณ์อย่างหนึ่งที่อาจเป็นอันตรายต่อเครื่องบินได้ คือ การผันแปรของอากาศอย่างทันทีทันใด ที่เรียกกันว่า "แค๊ท (Cat - clear air turbulenec)" โดยทั่วไปแล้ว "แค๊ท" จะเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่อาจจะคาดคะเน หรือทำการพยากรณ์ได้เช่นเดียวกับลักษณะภูมิอากาศ โดยทั่วไปมันจะเกิดขึ้นได้ทุกเวลาและทุกสภาวะอากาศ สาเหตุของปรากฏการณ์นี้ยังไม่ทราบกันแน่ชัด แต่เชื่อกันว่าหากมันเกิดขึ้นขณะที่กระแสลมพัดแรงและรวดเร็ว จะทำให้เกิดสูญญากาศบริเวณนั้นทันที ซึ่งหากเครื่องบินได้บินเข้าสู่บริเวณของมันก็อาจจะตกดิ่งสู่ทะเลได้ง่าย แต่อย่างไรก็ดี การผันแปรวิปริตของบรรยากาศทันทีทันใดในลักษณะเช่นนี้นั้น จะต้องไม่ใช่สาเหตุการหายสาบสูญ ของเครื่องบินทุกลำใน-บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นแน่ เพราะปรากฏการณ์ "แค๊ท" จะไม่เป็นผลต่อการทำงานของเครื่องวัดต่างๆ และระบบการติดต่อทางวิทยุบนเครื่องบิน แต่ทุกครั้งที่เกิดเหตุ จะปรากฏว่าการติดต่อทางวิทยุได้เงียบหายไป

การแปรผันของสนามแม่เหล็กโลก ก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เครื่องบินตกได้เช่นเดียวกัน เพราะมันจะทำให้เกิดการผิดพลาดในการทำงานของเครื่องวัดระดับ และเข็มทิศประจำเครื่อง ในกรณีเช่นนี้นักบินไม่มีความสามารถพอก็อาจจะนำเครื่องบินดิ่งลงสู่มหาสมุทร ได้ ยิ่งกว่านั้นปรากฏการณ์ต่างๆ ทางธรรมชาติอีกมากมายที่เราไม่อาจจะอธิบาย-หรือทราบสาเหตุของมันได้

ประวัติของบะหมึ่กึ่งสำเร็จรูป

บะหมี่กึ่ง สำเร็จรูป คือบะหมี่แห้ง ที่กึ่งเตรียมทำมาให้แล้ว โดยปกติจะทานเมื่อได้เติมน้ำร้อนประมาณ 3-5 นาที ในปัจจุบันได้มีมากมายหลายยี่ห้อ มีทั้งชนิดซอง-ถ้วยและมีรสชาติต่างๆ มากมาย ถึงแม้ว่าผู้ผลิตส่วนใหญ่จะมาจากทวีปเอเชีย ไม่ว่า จีน ญี่ปุ่น เวียดนาม ไทย เกาหลี แต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมีการนิยมทานกันในยุโรป อเมริกาเหนือ หรืออเมริกาใต้ เพราะว่าราคาที่ถูกนั่นเอง


บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนั้น เกิดจากการคิดค้นประดิษฐ์ของ อันโด โมโมฟุกุ (ผู้ก่อตั้งและประธานบริษัทในกลุ่มนิชชิน) ในปี 1958 จากการที่อันโดได้เห็นสภาพของผู้คนที่พากันไปยืนต่อแถวนานเพื่อรอกินราเม็น ท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บกลางฤดูหนาว ของโอซาก้า เพียงเพื่อรอกินราเมนร้อนๆคลายหนาวเท่านั้น (ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ญี่ปุ่นเพิ่งจะแพ้สงครามโลก ข้าวยากหมากแพง) โดยการนำเส้นราเมนที่ได้จากผสมกับน้ำซุปกระดูกไก่-โทริคะระ มาทอดในน้ำมันปาล์มเพื่อไล่ความชื้นออกไป ทำให้เก็บไว้ได้นาน และแค่เพียงเติมน้ำร้อน เส้นก็จะคืนสภาพเดิม สามารถกินได้ทันที ไม่ต้องปรุงอะไรเพิ่มเติมเลย เพราะว่าเส้นผสมกับน้ำซุปกระดูกไก่แล้ว ทำให้เกิดอาหารที่เรียกว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปขึ้นมา โดยมีชื่อผลิตภัณฑ์ว่าชิกิ้นราเมนขึ้นมา



ผู้คิดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป

ต่อมาในปี 1971 นั้นอันโดจากบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนั้น ก็ได้คิดประดิษฐ์คัพเม็นขึ้นมา โดยการนำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนั้นมาใส่ในถ้วยพลาสติกทรงสูงคล้ายกับถ้วยกาแฟ โดยได้แนวคิดมาจากการที่ไปเห็นวิธีกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของคนอเมริกา ในคราวไปอเมริกาเพื่อสำรวจตลาด (รูปแบบของภาชนะตอนแรกนั้นเป็นแบบชามแบบที่ใส่พวกทงคัทซึด้ง ที่เรียกกันว่า ด้ง แต่ค่อนข้างใหญ่ เทอะทะ) ซึ่งใส่บะหมี่ลงในถ้วยกาแฟ เติมน้ำร้อน แล้วใช้ส้อมกินต่างแทนช้อน และเวลากินน้ำซุปก็ยกถ้วยกาแฟซด จึงเป็นที่มาของคัพเม็นนั้นเอง รวมทั้งพวกผัก เนื้อต่างๆ และเครื่องปรุงรสนั้น ถ้าเป็นคัพนูเดิ้ลของนิชชินแล้วจะใส่มาให้เลย เพียงเติมน้ำร้อนก็กินได้เลย

ในตอนแรกที่วาง จำหน่ายนั้น ยังไม่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายกันสักเท่าไหร่ จนเกิดมีเหตุการณ์การลักพาตัวประกันโดยกลุ่มฝักใฝ่ฝ่ายซ้ายจัด (ต่อต้านจักรวรรดิญี่ปุ่น) ที่จังหวัดนากาโน่ โดยในเวลานั้นมีการถ่ายทอดสดเหตุการณ์ และนำเสนอข่าวเกี่ยวกับการช่วยเหลือตัวประกันและคลี่คลายเหตุการณ์ของเจ้า หน้าที่ ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นของปลายเดือนกุมภาพันธ์ (โดยถ่ายทอดสดอยู่ตลอดเวลาเป็นเวลาถึง 10 วัน มิหนำซ้ำยังเป็นรายการที่มีเปอร์เซ็นต์ผู้ชมมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของ โทรทัศน์ญี่ปุ่นด้วยคือราว 90%) นั่นก็รวมไปถึงภาพที่กำลังกินคัพนูเดิ้ลอยู่ด้วย ในสถานที่เกิดเหตุ (แทนข้าวกล่อง - เบ็นโตะ ที่แข็งจากความเย็นจนกินไม่ได้) ทำให้คนญี่ปุ่นได้รู้จักและเห็นถึงประโยชน์ ความสะดวกสบายของคัพนูเดิ้ล จึงทำให้คัพนูเดิ้ลเป็นที่รู้จักของคนญี่ปุ่นโดยทั่วไปจนถึงทุกวันนี้ แล้วยังแพร่หลายไปยังประเทศต่างๆทั่วโลก เกิดการพัฒนาไปในรูปแบบต่างๆ มีหลากหลายยี่ห้อ รสชาดตามแต่ละท้องถิ่นด้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป มีจำหน่ายในเมืองไทยครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๕ นับถึงเวลานี้ก็เกือบ ๓๐ ปีแล้ว ผลิตโดยบริษัทไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) จากการร่วมทุนระหว่างบริษัทสหพัฒนพิบูล จำกัด กับบริษัทเพรซิเดนท์ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด จากประเทศไต้หวัน ได้ออกผลิตภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสซุปไก่ ใช้สัญลักษณ์ทางการค้าว่า "มาม่า" จนกลายเป็นชื่อติดปากของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไปเสียแล้ว

ปัจจุบันยอดการผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทุกบริษัทเฉลี่ยวันละ ๙ ล้านซอง โดยที่ร้อยละ ๘๐ จำหน่ายในประเทศ มูลค่ารวมในตลาดของสินค้าชนิดนี้เป็นเงินมากกว่า ๖,๐๐๐ ล้านบาทต่อปี

อาจกล่าวได้ว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นอาหารยอดนิยมชนิดหนึ่งของคนไทย เพราะกินง่าย ราคาถูก ผู้ผลิตพยายามสร้างสรรค์รสชาติใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา และเพิ่มเครื่องประกอบบางอย่าง เช่น สาหร่ายแห้ง หน่อไม้แห้ง ผักแห้ง กุ้งแห้ง หรือแม้กระทั่งซึ่งโครงกระดูกหมูอบบรรจุซอง และสารอาหารสามชนิด คือ ธาตุไอโอดีน ธาตุเหล็ก และวิตามินเอ ลงในซองเครื่องปรุงรส เพื่อให้อาหารชนิดนี้มีประโยชน์แก่ผู้บริโภคมากที่สุด

ลอดช่องสิงคโปร์เกี่ยวอะไรกับประเทศสิงคโปร์




เจ้าของร้าน คุณณรงค์ จักรธีรังกูร

ใครจะรู้บ้างว่า คำว่า ลอดช่องสิงคโปร์นั้น แท้จริงแล้วต้นกำเนิดไม่ได้มาจากประเทศสิงคโปร์ แต่เกิดจากภูมิปัญญาของคนไทยเรานี่เอง ที่ได้นำแป้งมันสำปะหลังมาปั้น และนวดให้เหนียว รับประทานกับกะทิสด และน้ำเชื่อม น้ำแข็งป่น ก็เพิ่มความสดชื่นให้กับผู้บริโภคได้แล้ว แต่หลายคนคงสงสัยว่าแล้วคำว่า สิงคโปร์ล่ะ มาจากไหน ซึ่งเป็นชื่อที่เรียกกันจนติดปาก ถึงบริเวณที่ตั้งร้านนี้ ที่เป็นเจ้าแรก ในการทำ ?ลอดช่องสิงคโปร์? นั่นเอง

เพราะหากย้อนไปเมื่อประมาณ 60 ปีก่อน ร้านนี้บังเอิญไปตั้งอยู่บริเวณ หน้าโรงภาพยนต์สิงคโปร์ (เดิม) หรือโรงหนังเฉลิมบุรี บนถนนเยาวราช และเมื่อลูกค้าจะไปทาน ก็มักจะเรียกว่า ?ไปทานลอดช่องหน้าโรงหนังสิงคโปร์? สุดท้ายก็เรียกให้สั้นลงว่า ?ลอดช่องสิงคโปร์? แทน

ร้านสิงคโปร์โภชนา

ส่งผลให้ร้าน ?สิงคโปร์โภชนา? เป็นร้านต้นกำเนิดลอดช่องสิงคโปร์ ที่เรียกกันติดปากมาจนถึงปัจจุบัน โดยนายณรงค์ จักรธีรังกูร เจ้าของร้านสิงคโปร์โภชนา ได้ย้อนอดีตให้ฟังว่า ธุรกิจกิจนี้เป็นของผู้เป็นพ่อ โดยได้รับการถ่ายทอดสูตรมาจากเพื่อนอีกทีหนึ่ง ซึ่งรวมระยะเวลาที่ร้านลอดช่องสิงคโปร์เปิดบริการให้ลูกค้าได้ลิ้มลองก็ ประมาณกว่า 60 ปี โดยตั้งที่บริเวณแยกหมอมี ตรงข้ามธนาคาร UOB ถ.เจริญกรุง ซึ่งแต่เดิมเป็นโรงหนังสิงคโปร์ จนกระทั่งถูกรื้อทิ้ง สร้างใหม่เป็นโรงหนังเฉลิมบุรี

?การที่ร้านเราสามารถครองใจลูกค้ามาได้ยาวนานถึง 60 ปี เนื่องจากการคงคุณภาพวัตถุดิบ และสูตรของขนมลอดช่องสิงคโปร์ที่ไม่เปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะการใช้กะทิ แบบเข้มข้น เพื่อให้ได้ความหอม มัน ที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด ส่วนเส้นของลอดช่อง ก็มีความเหนียวนุ่ม โดยสีที่นำมาใช้จะเป็นสีเขียวของใบเตยและสีผสมอาหาร ซึ่งหากใช้สีของใบเตยเพียงอย่างเดียวจะทำให้สีไม่สวย สดใส ในขณะที่น้ำเชื่อมก็ไม่หวานจนเกินไปนัก พร้อมใส่ขนุนลงไปในน้ำเชื่อมด้วย ทำให้ลูกค้าในปัจจุบันมีทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ที่เคยมารับประทานตั้งแต่สมัยเป็นหนุ่มสาว ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นลูกค้าประจำแม้อายุจะล่วงเลยไปถึง 70-80 ปี แล้วก็ตาม โดยทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า มานั่งกินลอดช่องสิงคโปร์เพื่อมารำลึกความหลัง?

ลอดช่อง

ปัจจุบันร้านลอดช่องสิงคโปร์ ได้มีการเพิ่มเมนูที่เป็นของคาวเพิ่มขึ้นด้วย คือ ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นหมูน้ำใส จากเดิมที่ขายก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟ และก๋วยเตี๋ยวเนื้อ ซึ่งก็ได้รับนิยมของลูกค้าไม่แพ้กัน เพราะเมื่อลูกค้าสั่งก๋วยเตี๋ยวรับประทานแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะสั่งของหวาน อย่างลอดช่องสิงคโปร์ตบท้ายเพื่อความสดชื่น รวมถึงขณะนี้ได้ขยายสาขาไปที่บริเวณแยกสะพานควาย ข้างบิ๊กซี

ส่วนยอดขายในปัจจุบัน นายณรงค์ บอกว่า ตนเองไม่เคยคำนวณกำไร และต้นทุน เพราะเมื่อจะเอาเงินไปซื้อวัตถุดิบ ก็จะหยิบเอามาจากถัง ที่ถูกชักลอกด้วยเชือก ที่อยู่ในร้าน แต่ก็ถือว่าไม่เคยขาดทุน มีเงินหมุนเวียนใช้ในร้านตลอดเวลา รวมถึงจำนวนแก้วของลอดช่องสิงคโปร์ที่ขายได้ในปัจจุบัน ก็ไม่เคยนับด้วยเช่นกัน เพราะตั้งแต่เปิดร้านเวลา 11.00 -21.00 น. เมื่อลอดช่องสิงคโปร์ให้โถแก้วหมด ก็จะทำเติมอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งร้านปิด ซึ่งขณะนี้ขายในราคาแก้วละ 15 บาท โดยยังไม่มีโครงการขึ้นราคาตามราคาของแป้ง น้ำตาล และมะพร้าว ที่ปรับราคาขึ้นไปแล้ว

เป็นที่น่าเสียดาย เมื่อเราถาม ณรงค์ว่า มีแผนการดำเนินธุรกิจนี้ต่อไปอย่างไรในอนาคต คำตอบที่ได้คือ คงจะทำอีกไม่กี่ปี ก็จะเลิกทำแล้ว เพราะไม่มีผู้สืบทอด ซึ่งโดยส่วนตัวคิดจะเลิกหลายครั้งแล้ว เพราะเหนื่อย ทำไม่ค่อยไหว เนื่องจากอายุอานามที่เพิ่มขึ้น เข้าสู่วัยเกษียณ ซึ่งลูกหลานก็อยากให้เลิกทำ อยากให้พักผ่อน ซึ่งฟังแล้วก็ใจหาย ที่ในอนาคตจะไม่ได้เห็นและรับประทานขนมลอดช่องสิงคโปร์ที่เป็นต้นตำรับ หาใครทำเลียนแบบได้ยาก

ร้านลอดช่องสิงคโปร์ โภชนานั้น ปัจจุบันได้กลายเป็นตำนานบนถนนเยาวราช เพราะไม่เพียงแต่ความเก่าแก่ที่ครองใจผู้บริโภคมานานกว่า 60 ปีแล้ว ร้านนี้ยังถูกทางสำนักงานเขตสัมพันธ์วงศ์ ได้ขอให้คงอยู่ไว้ เพราะถือว่าร้านนี้กลายเป็นตำนานและเป็นส่วนหนึ่งของเยาวราชที่ขาดไม่ได้ไป แล้ว

กำเนิดทะเลทราย Sahara

ทะเลทรายคือดินแดนส่วนหนึ่งของผิวโลก ที่แห้งแล้งจัดจนพืชและสัตว์ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ หรือแม้กระทั่งคนก็แทบจะอาศัยอยู่ไม่ได้เช่นกัน เพราะมีแต่ความร้อนและเนินทรายเท่านั้นเอง


สภาพการไร้ฝนและอุณหภูมิที่ร้อนจัดในทะเลทราย มีผลทำให้ความชื้นสัมพัทธ์ของอากาศเหนือทะเลทรายเกือบเป็นศูนย์ตลอดปี และถึงแม้ในบางเวลาจะมีฝนตกในทะเลทรายบ้างก็ตาม แต่อากาศที่ร้อนจัดได้ทำให้น้ำฝนระเหยหาย ไปก่อนที่เม็ดฝนจะตกถึงพื้นทราย ยกเว้นกรณีที่เป็นห่าฝน ซึ่งเมื่อตกถึงทรายแล้วน้ำก็จะไหลซึมลงไปใต้ดินกลายเป็นน้ำ บาดาลสู่โอเอซิส (oasis) ซึ่งเป็นแหล่งน้ำที่อุดมสมบูรณ์กลางทะเลทรายในที่สุด

โลกมีทะเลทรายหลายแห่งทะเลทรายที่มีชื่อเสียงได้แก่ ทะเลทราย Sahara ที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของทวีปแอฟริกา ทะเลทราย Gobi ในมองโกเลีย ทะเลทราย Turkertan ในรัสเซีย Great American Desert ในอเมริกา และ Patagorian ในอาร์เจนตินา เป็นต้น ลักษณะทั่วไปทางภูมิศาสตร์ของทะเลทรายก็เช่นเดียวกับพื้นที่ส่วนอื่นๆ ของโลกคือ มีภูเขา ที่ราบ และเนินทราย (dune) ซึ่งเนินทรายนี้อาจสูงถึง 300 เมตร และเคลื่อนที่ได้ในอัตราเร็วปีละ 10 เมตร เพราะเวลาลมทะเลทรายพัด แต่ถ้าลมพัดแรงภูเขาทรายก็อาจเลื่อนได้ไกลถึง 20 เมตรในหนึ่งวัน และเมื่อภูเขาทรายเคลื่อนที่ถึงสิ่งใด มันก็จะถมทับสิ่งนั้นจนหมดสิ้น และเนินทรายจะมีรูปร่างอย่างไรนั้น ก็ขึ้นกับพลศาสตร์ระหว่างลมและทราย แต่ถึงกระนั้นความเอียงของทุกเนินทรายก็ไม่เคยเกิน 32 องศา

อุณหภูมิของอากาศเหนือทะเลทรายแต่ละแห่ง ตามปกติจะไม่เท่ากัน ขึ้นกับว่าทะเลทรายตั้งอยู่ที่ใดของโลก การแทบจะไม่มีเมฆในท้องฟ้าทำให้ทะเลทรายได้รับแสงแดดจากดวงอาทิตย์ตรงๆ อุณหภูมิของอากาศเหนือทะเลทรายจึงอาจสูงถึง 65 องศาเซลเซียส แต่ในเวลากลางคืน เพราะทรายคายความร้อนได้เร็ว อุณหภูมิของอากาศอาจลดต่ำถึง 25 องศาเซลเซียสได้ ความแตกต่างที่มากระหว่าง อุณหภูมิของอากาศในเวลากลางวัน และกลางคืนนี่เองที่เป็นสาเหตุทำให้ในทะเลทรายมีพายุพัดรุนแรง ซึ่งนักท่องทะเลทรายมักจะพบว่าพายุทรายนั้นพัดรุนแรงมากและเกิดบ่อย นอกจากเหตุผลด้านอุณหภูมิแล้ว ลักษณะภูมิประเทศทั่วไปและตำแหน่งของทะเลทรายบนโลกก็มีส่วนในการกำหนดความ เร็วของลม สถิติความเร็วของลมทะเลทรายมีสูงถึง 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ความเร็วที่สูงเช่นนี้สามารถพัดพาเม็ดทรายและฝุ่นละอองไปตกได้ในที่ไกลๆ เช่น พายุทะเลทรายในออสเตรเลีย อาจจะหอบทรายไปตก ในนิวซีแลนด์ที่อยู่ไกลออกไป 2,400 กิโลเมตร หรือพายุทรายใน Sahara อาจหอบทรายไปตกทางตอนเหนือของยุโรปได้สบายๆ



ทะเลทราย Sahara ซึ่งเป็นทะเลทรายที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ที่สุดในโลก

ทะเล ทราย Sahara ซึ่งเป็นทะเลทรายที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ที่สุดในโลกคือ มีเนื้อที่ประมาณ 9.3 ล้านตารางกิโลเมตร (ใหญ่เท่าอเมริกาทั้งประเทศ) และตั้งอยู่ทางตอนเหนือของทวีปแอฟริกา มี อาณาเขตทิศตะวันตกจดมหาสมุทรแอตแลนติก ทิศตะวันออกจดทะเลแดง ทิศเหนือจดภูเขา Atlas และทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและทิศใต้จดเส้นละติจูด 15 องศาเหนือ โดยมีประเทศ Tunisia, Chad Libya, Algeria, Sudan, Niger และ Egypt ตั้งอยู่รายรอบ อุณหภูมิของอากาศทะเลทรายในเดือนกรกฎาคม โดยเฉลี่ยแล้ว สูงประมาณ 32 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิในเดือนมกราคมโดยเฉลี่ย สูงประมาณ 20 องศาเซลเซียส สถิติอุณหภูมิสูงสุดในเวลากลางวันเท่ากับ 57 องศาเซลเซียส เนินทรายที่สูงที่สุดในโลกก็คือ สูงถึง 465 เมตร ตั้งอยู่ในทะเลทราย Sahara นี้ที่ Isaouane - N - Tifernine ใน Algeria ลมพายุใน Sahara ที่พัดแรงและมีชื่อเสียง เช่น ลม Sirocco และ Khamsin เป็นต้น อนึ่งทะเลทรายนี้มีฝนตกไม่เกินปีละ 25 เซนติเมตร และฝนจะตกไม่สม่ำเสมอ แต่จะตกแรงและสิ้นสุดเร็ว จนทำให้ลำธารเล็กๆ ที่มีอยู่ตามหุบเขาในทะเลทรายกลายสภาพเป็นแม่น้ำได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง

สภาพทั่วไปทางภูมิศาสตร์ของ Sahara เป็นพื้นที่ราบ แต่ก็มีภูเขาสูงบ้าง เช่น ภูเขา Ahaggar ที่สูง 3,300 เมตร ใน Algeria และในบริเวณทางเหนือของทะเลทรายจะมีแหล่ง oasis มากกว่าทางตอนใต้ และแหล่งน้ำนี้เป็นที่ที่มีการปลูกปาล์ม มะกอก องุ่น ข้าวสาลี และข้าวบาเลย์มาก โดยได้น้ำในการทำเกษตรกรรมจากภูเขา Atlas ที่อยู่ไกลออกไป 400 กิโลเมตร ในทะเลทรายนี้ยังมีเมืองโบราณที่ถูกทรายทับถมหลายเมือง ส่วนทางด้านตะวันออกของทะเลทรายมีแม่น้ำไนล์ไหลผ่าน จึงทำให้พื้นดินส่วนนี้มีการทำเกษตรกรรม ส้ม ผลไม้ และฝ้าย นอกจากนี้ Sahara ยังมีแหล่งน้ำมันด้วย จึงทำให้มีการนำรถยนต์มาใช้ในการติดต่อเดินทางถึงกันแทนที่จะใช้อูฐดังเช่น ในสมัยก่อน



ทะเลทราย Sahara มีแต่ทรายกับทราย

คำถามหนึ่งที่นักภูมิศาสตร์ได้ งุนงงและสงสัยมานานคือ Sahara ถือกำเนิดได้อย่างไร เพราะนักโบราณคดีได้ขุดพบเมล็ดพืชโบราณในสถานที่หลายแห่งในทะเลทราย ซึ่งเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าในอดีตเมื่อ 9,000-6,000 ปีก่อนนี้ Sahara ได้เคยเป็นสวนสวรรค์แห่ง Eden ที่มีหญ้าเขียวขจีมีต้นไม้และพืชขึ้นอย่างอุดมสมบูรณ์ แต่เหตุใด ณ วันนี้และทุกวันนี้ Sahara จึงมีแต่ทรายกับทราย

ในวารสาร Geophysical Research Letters ฉบับที่ 26 หน้า 2037 M.Claussen และคณะแห่ง Potsdam Institute for Climate Impact Research ในประเทศเยอรมนี ได้ให้คำอธิบายสาเหตุการกลายสภาพของ Sahara ว่า

การวิเคราะห์เมล็ดพืชโบราณได้ทำให้เขารู้ว่าเมื่อ 6,000-7,000 ปีก่อนนี้ อากาศใน Sahara อบอุ่น และ Sahara มีป่า มีต้นไม้มากมาย แต่เมื่อเวลาผ่านไป ประมาณ 2,000 ปี ได้เกิดเหตุการณ์ภัยแล้งอย่างรุนแรงที่กินเวลานาน 400 ปี ทำให้ผู้คนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ใน Sahara ต้องอพยพย้ายแหล่งทำมาหากินไปอยู่ ณ ที่ใหม่ตามลุ่มน้ำไนล์ และสาเหตุที่ทำให้เกิดภัยแล้งระดับมหากาฬนั้น Claussen ได้ให้เหตุผลว่า เกิดจากการที่แกนของโลกได้เปลี่ยนระดับการเอียง คือ ได้ลดลงจาก 24.14 องศา มาเป็น 23.45 องศา ทำให้ฤดูร้อนในซีกโลกทางเหนือมีอุณหภูมิลดลง เพราะแสงอาทิตย์ตกกระทบพื้นผิวโลกส่วนนี้น้อยลง และเมื่อ Claussen นำข้อมูลการเย็นลงของฤดูร้อนนี้ป้อนเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อศึกษาผลกระทบที่จะมีต่อกระแสน้ำในมหาสมุทร และอากาศเหนือทวีปแอฟริกา รวมทั้งลมมรสุมที่จะพัดมาจากมหาสมุทรอินเดียเพื่อนำฝนมาตกใน Sahara เขาก็ได้พบว่า พายุนำฝนนี้ได้อ่อนแรงลงมากคือไม่สามารถนำฝนมาตกใน Sahara ได้มากดังเคย การมีฝนตกน้อยทำให้ต้นไม้และพืชต่างๆ ล้มตาย และเมื่อป่าไม้สลายมาก ความสามารถในการเก็บความชื้นของดินก็ยิ่งน้อย ทำให้ฝนตกยิ่งน้อยและต้นไม้ก็ยิ่งตาย วงจรที่ใช้เวลา 400 ปีนี้ ได้ทำให้ต้นไม้ใน Sahara สาบสูญหมดจน Sahara กลายเป็นทะเลทรายในที่สุด

10 อันดับเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของโลก


อันดับ 10 Cahokia

ว่ากันว่าเมืองชื่อเก๋นี้มีคนอาศัยอยู่สามหมื่นคนทีเดียว ตั้งอยู่ที่แถวรัฐอิลลินอยส์ แถวๆ อเมริกาเหนือ และเรียกได้ว่าเป็นเมืองแรก จริงๆ ของประเทศมหาอำนาจนี้ ที่นี่มีอารยธรรมริมฝั่งแม่น้ำมิสซิสซิปปี้เกิดขึ้น มีสถาปัตยกรรมต่างๆ มากมาย ที่บอกให้รู้ถึงความเจริญที่เคยมีมาในอดีต น่าสนใจมาก



อันดับ 9 Xi'an

ซีอาน เป็นเมืองที่เข้มแข็ง และแข็งแกร่งมาก ที่เมืองนี้มีสิ่งที่น่าตื่นตาคือกองทัพของจิ๋นซีฮ่องเต้ ที่ถูกสร้างเป็นรูปปั้นกว่า 3,000 รูป ว่ากันว่าสุสานของพระองค์ก็อยู่แถวนี้ด้วย และถ้าหาเจอ ก็น่าจะมีสมบัติอยู่มากมายทีเดียว



อันดับ 8 Great Zimbabwe

ที่อัฟริกานี้เอง เกิดเมืองก่อนพวกยุโรปเสียอีกแน่ะ เมืองนั้นชื่อว่าซิมบับเว เชื่อกันว่ามีอารยธรรมที่พร้อมมูลทุกอย่าง มีการพบหลักฐานของการสร้างรูปปั้น และสถาปัตยกรรมต่างๆ มากมายเป็นจักรวรรดิย่อยๆ เลยละ



อันดับ 7 Thebes

เมื่อพูดถึงอียิปต์ คนมักคิดถึงไคโรเป็นหลัก แต่ว่าหัวใจหลักของที่นี่คือเมืองที่อยู่แถวแม่น้ำไนล์อย่าง ธีปส์ ที่เป็นเมืองหลวงมากว่า 4500 ปี มีวัดศักดิ์สิทธิ์อย่าง คาร์นัค และลัคซอร์ ที่เป็นที่รู้จักกันดี



อันดับ 6 Tenochtitlan


เมืองแห่งตำนาน ที่เคยเป็นเมืองที่สวยที่สุดในโลกนี้ตั้งอยู่ที่เม็กซิโก ได้รับความเชื่อว่าเมื่อก่อนมีคนอาศัยถึงสามแสนคนทีเดียว และพวกสเปนก็อพยพเข้ามา นำอารยธรรมมากมายเข้ามาเผยแพร่ สืบต่อมาจนวันนี้



อันดับ 5 Cuzco

เมื่อก่อนมีคำว่า All roads in the Incan empire lead to Cuzco ก่อนที่จะมาเป็น All roads lead to Rome เมืองแห่งนี้มีความเจริญ รุ่งเรืองอย่างมาก และเคยเป็นที่กล่าวถึงอย่างหนาหูทีเดียว



อันดับ 4 สวนลอยฟ้าแห่งบาบิโลน

อันนี้เชื่อว่าไม่มีใครไม่รู้จักแน่ๆ เมืองบาบิโลน ที่มีประวัติศาสตร์ซับซ้อนซ่อนเงื่อนสุดๆ เป็นเมืองเก่าที่มีชื่อเสียงจริงๆ และมีจุดเด่นมาก เป็นหอคอยที่สูงเสียดฟ้า ขนาดใหญ่มหึมา



อันดับ 3 Constantinople

คอนสแตนติโนเบิล เมืองที่จักรพรรดิเมื่อก่อนสร้างไว้ เพื่อมาอยู่อาศัยสลับกับโรม เมืองนี้จึงเป็นหนึ่งในเมืองหลวงที่มีชื่อเสียงที่สุด ทั้งใหญ่โต ร่ำรวยไปด้วยอารยธรรม มหาวิทยาลัย โบสถ์ ฯลฯ มากมายจริงๆ



อันดับ 2 Athens

เอเธนส์ สถานที่เกิดของประชาธิปไตย ปรัชญา และโอลิมปิก ช่างเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงจริงๆ เลย และได้สร้างอะไรหลายๆ ตกทอด มาถึงชาวโลกมากมายด้วย มีทั้งวิหารพาเธนอนที่สวยงาม และมีสถาปัตยกรรมอื่นๆ ที่น่าชมจริงๆ ถึงแม้ว่าตอนนี้ ที่นั่นจะสลายไปก็ตาม แต่อิทธิพลที่ตกทอดมา ไม่เคยจางไปไหนเลยจริงๆ



อันดับ 1 Rome

ท่านเคยได้ยินคำพูดที่ว่า "กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จภายในวันเดียว" ไหมครับ กรุงโรมคงจะมีอาณาจักรที่ใหญ่มากอย่างแน่นอน ที่นี่มีเรื่องราว,วัฒนธรรมที่หลากหลายอย่างมาก เคยเป็นจักรวรรดิที่รุ่งเรืองมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และมีอารยธรรมที่ก้าวไกลกว่าเมืองอื่นๆ ทั้งหมด ประชากรอยู่กันอย่างแสนสบาย เรียกว่าเป็นอีกเมืองที่ทั้งเก่าแก่ และมีชื่อเสียงมากที่สุดของโลก

เริ่มแรกมีรถเมล์ในประเทศไทย

ปี พ.ศ. 2428 ประเทศไทยมีรถเทียมม้า ซึ่งเรียกกันว่า "รถเมล์" และวิ่งตามเส้นทางเรือเมล์ที่มีอยู่ก่อนแล้ว แต่ให้บริการอยู่ประมาณ 2 ปี จึงเลิกกิจการเนื่องจากมีการนำรถรางเข้ามาใช้แล้ว

ปี พ.ศ. 2450 พระยาภักดีนรเศรษฐ หรือ นายเลิศ เศรษฐบุตร เริ่มกิจการรถเมล์ขึ้นอีกครั้ง ให้บริการระหว่าง สะพานยศเส (สะพานกษัตริย์ศึก) กับตลาดประตูน้ำ ซึ่งเป็นต้นทางเรือเมล์ของนายเลิศในคลองแสนแสบด้วย เส้นทางนี้ยังไม่มีรถราง กิจการรถเมล์จึงไปได้ดี

ปี พ.ศ. 2456 นายเลิศนำรถยี่ห้อฟอร์ดเข้ามาให้บริการ และขยายเส้นทางไปถึงบางลำพู ย่านการค้าที่สำคัญของยุคนั้น ขนาดของรถใกล้เคียงกับรถม้า มี 3 ล้อ มีที่นั่งเป็นม้ายาว 2 แถว และนั่งได้ประมาณ 10 คน ขณะวิ่งจะมีเสียงโกร่งกร่าง ผู้คนจึงเรียกกันว่า "อ้ายโกร่ง" แต่บางคนเรียกว่า "รถเมล์ขาวนายเลิศ" เนื่องจากตัวรถมีสีขาว และมีเครื่องหมายกากบาทสีแดงในวงกลม

ด้วยนโยบาย "สุภาพ ซื่อสัตย์ ประหยัด ทันใจ เอากำไรน้อย บริการผู้มีรายได้น้อย" ทำให้ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น กิจการก็เติบโตขึ้นด้วย จึงมีการพัฒนาเป็นรถ 4 ล้อ ที่ออกแบบขึ้นเอง มีที่นั่ง 2 แถวด้านข้าง ขยายเส้นทางออกไปอีกหลายสาย และมีผู้ประกอบการรายอื่นเพิ่มขึ้นมา รวมแล้วประมาณ 30 ราย ให้บริการไปทั่วกรุงเทพฯ ตัวรถเมล์มีทั้งสีแดง เหลือง และเขียว

ปี พ.ศ. 2497 เริ่มมีการจัดระเบียบรถเมล์ โดยรัฐบาลออก พ.ร.บ. ขนส่ง ควบคุมให้ผู้ประกอบการต้องขอใบอนุญาตก่อนทำกิจการรถเมล์

ปี พ.ศ. 2518
รัฐบาลสมัยของ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช (หม่อมน้อง) ให้รวมกิจการรถเมล์ในกรุงเทพฯ เป็นบริษัทเดียวกัน คือ บริษัทมหานครขนส่ง จำกัด ซึ่งอยู่รูปแบบของรัฐวิสาหกิจ โดยรัฐและเอกชนถือหุ้นพอๆ กัน ต่อมาในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2519 รัฐบาลสมัยของ ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช (หม่อมพี่) ได้ออกพระราชกฤษฎีการวมกิจการของ บริษัทมหานครขนส่ง จำกัด เข้ากับองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพฯ (ขสมก.) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ สังกัดกระทรวงคมนาคม

กิจการรถเมล์ขาวนายเลิศ ที่ดำเนินการมาเป็นเวลา 70 ปี ในขณะนั้นได้รับสัมปทานเดินรถ 36 สาย มีจำนวนรถ 700 คัน และมีพนักงานถึง 3,500 คน จึงเลิกกิจการไปในปี พ.ศ. 2520 โดยอู่รถเมล์ขาวนายเลิศเดิม ได้กลายเป็นสถานที่ตั้งของโรงแรมปาร์คนายเลิศ ณ ถนนวิทยุ ในปัจจุบันนั่นเอง