วันพฤหัสบดีที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

สะพานเสรีประชาธิปไตย

สะพานเสรีประชาธิปไตย

ท่านที่ไปชมพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ จังหวัดอุบลราชธานี คงจะสังเกตเห็นแผ่นป้ายคอนกรีตผิวหินล้าง ข้อความว่า "สะพานเสรีประชาธิปไตย 2497" จำนวน 4 ป้ายเรียงหน้ากระดาน ด้านทิศตะวันตก อาคารสถานพิพิธภัณฑ์ฯ ดังกล่าว ซึ่งอยู่ด้านหน้าวัดศรีอุบลรัตนาราม พระอารามหลวง สะพานเสรีประชาธิปไตย ได้ถูกรื้อถอนเพราะหมดอายุการใช้งาน เกรงว่าจะเกิดอันตราย เมื่อปี พ.ศ. 2533 เหลือเพียงแต่ป้าย 4 แผ่น นำมาวางเรียงไว้ ให้อนุชนคนรุ่นหลังได้ชมเฉพาะป้ายชื่อ โดยไม่ทราบความเป็นมา หรือประวัติของสะพานแห่งนี้ เพราะกลายเป็นอดีตไปแล้ว

น.พ.บัณฑิต เชาวกุล รองประธานหอการค้า/ผอ.รพ.อุบลรักษ์ - ธนบุรี/ประธานสภาเทศบาลนครอุบลราชธานี คุณนิมิต สิทธิไตรย์ รองประธาน/เลขาธิการ/ประธานฝ่ายวารสารหอการค้าอุบลฯ และคุณสุเทพ แก้ว วรสูตร บรรณาธิการ วารสารข่าว หอการค้าอุบลฯ ได้ยกเรื่องนี้ สอบถามในห้องประชุมใหญ่ ศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2543 เพราะสงสัยว่า... ชื่อสะพานแห่งนี้ ทำไมพ้องกับระบอบการปกครอง (ไม่เหมือนลักษณะชื่อสะพานโดยทั่วไป) ใครเป็นคนตั้งชื่อ? และสะพานเสรีประชาธิปไตย มีประวัติความเป็นมาอย่างไร? ชาวอุบลฯ สนใจหรือพอใจชื่อสะพานแห่งนี้หรือไม่? มีการวิพากษ์วิจารณ์หรือต่อต้านอย่างไรบ้างหรือเปล่า? ผู้เขียนได้ตอบข้อสงสัยข้างต้น พร้อมกับเล่าประวัติสะพานพอสังเขป แต่ไม่จุใจ ให้เขียนบทความเกี่ยวกับสะพานแห่งนี้ จะได้รายละเอียดมากกว่า และเผยแพร่ให้ผู้สนใจได้ทราบด้วย เพื่อจะไม่เป็น "ห้องสมุดเฉพาะตัวบุคคล"



สะพานเสรีประชาธิปไตยเริ่มก่อสร้าง โดยใช้เรือปั้นจั่นขนาดใหญ่ ตอกเสาเข็มกลางแม่น้ำมูล เพื่อสร้างตอม่อและเสาสะพาน
ชาวอุบลฯ ตื่นเต้นดีใจ ใช้ภาพถ่ายเป็นบัตรอวยพรปีใหม่ 2496

เริ่มการก่อสร้างสะพาน

สังเกตจากภาพถ่าย ภาพแรกจะเห็นว่าสะพานเสรีประชาธิปไตย เริ่มก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2496 ค่าก่อสร้าง แปดล้านบาทเศษ จากงบประมาณแผ่นดิน โดยกรมโยธาเทศบาล (กรมโยธาธิการในปัจจุบัน) เป็นหน่วยงานออกแบบ และควบคุมการก่อสร้าง สะพานกว้าง 9.00 เมตร ยาว 450.00 เมตร วิศวกรผู้ควบคุมงานก่อสร้างสะพานแห่งนี้ชื่อ คุณประสิทธิ์ สุทัศน์กุล (ต่อมาดำรงตำแหน่งโยธาเทศบาล จังหวัดอุบลราชธานีคนแรก และเป็นเขยเมืองอุบลฯ แต่งงานกับคุณสุเพ็ญ ทองหล่อ รองนางงามมิตรภาพ พ.ศ. 2495 บุตรสาวพันตำรวจตรี หมื่นชิต ธุรชน บ้านอยู่ที่มุมถนนพนมบรรจบกับถนนพโลชัย) บริษัท กำจรก่อสร้าง เป็นผู้รับเหมาสร้างสะพานนี้

ชาวอุบลฯ วิจารณ์การสร้างสะพาน

บริษัทผู้ก่อสร้าง ได้จัดทำหุ่นจำลอง (Model) สะพานขนาดเล็กไว้ ณ ที่ทำการชั่วคราวของบริษัท ปลายถนนอุปราชริมฝั่งแม่น้ำมูล รูปร่างลักษณะเหมือนในแบบแปลนทุกประการ แต่ย่อส่วน ชาวอุบลฯ ทั่วไปวิจารณ์เรื่องโครงสร้างของสะพานอย่างกว้างขวาง เนื่องจากโครงสร้างของสะพานข้ามแม่น้ำสายสำคัญในสมัยนั้น ส่วนบนของสะพาน จะต้องเป็นโครงเหล็ก ยึดโยงเชื่อมกันอย่างแข็งแรง ส่วนตอม่อรับพื้นสะพาน ก็ต้องเป็นแท่งคอนกรีตเสริมเหล็กขนาดใหญ่โต เต็มความกว้างของสะพาน ตัวอย่างเช่น สะพานพระพุทธยอดฟ้าฯ สะพานพระราม 6 ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ที่กรุงเทพฯ สะพานนวรัฐ ที่เชียงใหม่ สะพานเดชาติวงศ์ ที่นครสวรรค์ เป็นต้น

แต่โครงสร้างของสะพานข้ามแม่น้ำมูล ที่กำลังก่อสร้างในปี พ.ศ. 2496 - 2497 ไม่มีโครงเหล็กยึดโยงเชื่อมกัน เพื่อความเชื่อมั่นในความแข็งแรง สำหรับตอม่อสะพาน ก็เป็นเพียงเสา 3 ต้น ไม่ใหญ่ไม่โตเท่าไรนัก ตั้งห่างกันเป็นระยะไม่น่าจะรับน้ำหนักตัวสะพานได้ ส่วน "คาน" ของสะพาน แทนที่จะเป็นแท่งคอนกรีตทึบ หนักแน่นมันคง แต่กลับเป็นคอนกรีตโปร่งรูปเหลี่ยม ลักษณะเหมือนลูกกรงระเบียงมากกว่าที่จะเป็นคานรับน้ำหนักของสะพาน ทางเดินเท้าก็ไม่มีเสารับ ยื่นออกจากตัวสะพานลอยๆ กลัวว่าจะหักลงมา

สรุปแล้ว สะพานข้ามแม่น้ำมูลแห่งนี้ เป็นลักษณะของสะพานข้ามคลองเล็กๆ มากกว่าจะเป็นสะพานข้ามแม่น้ำสายสำคัญ ซึ่งสะพานมีความยาว 450.00 เมตร เป็นสะพานยาวที่สุดในประเทศไทยสมัยนั้น ชาวอุบลฯ ต่างวิตก วิจารณ์กันโดยทั่วไป แม้จะได้รับการชี้แจงว่า โครงสร้างของสะพาน เป็นการออกแบบตามหลักวิชาการสมัยใหม่ แต่ก็ไม่คลายกังวล

การตั้งชื่อสะพาน

เมื่อการก่อสร้างสะพานใกล้จะแล้วเสร็จ จะต้องตั้งชื่อสะพานแห่งนี้ ก่อนที่จะมีพิธีเปิดเป็นทางการ จึงให้ชาวอุบลฯ แสดงความคิดเห็นในการตั้งชื่อสะพาน เพื่อความมีส่วนร่วม ปรากฏว่าการตั้งชื่อสะพาน แยกความคิดเห็นเป็น 3 แนวทาง

แนวทางที่ 1 กลุ่ม ส.ส. อุบลฯ สมัยนั้น มีนายยงยุทธ พึ่งพบ เป็นต้น ออกใบปลิวแจ้งว่า ผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการก่อสร้างสะพานแห่งนี้คือ "พันเอกหลวงบูรกรรมโกวิท" อธิบดีกรมโยธาเทศบาล เป็นผู้สรรหางบประมาณมาก่อสร้าง ด้วยการแปรญัตติจากโครงการต่างๆ ควรตั้งชื่อสะพานนี้ว่า "บูรกรมโกวิท" หรือ "บูรกรมเนรมิต" แต่ชาวบ้านไม่เห็นด้วย เพราะเป็นเรื่องส่วนบุคคล มิใช่ส่วนรวม

แนวทางที่ 2 กลุ่มข้าราชการบำนาญ ซึ่งเป็นผู้เฒ่า ผู้แก่ของเมืองอุบลฯ ประกอบด้วย ขุนสาธก ศุภกิจ อดีตสรรพากรจังหวัด ขุนวรเวธวรรณกิจ อดีตศุภมาตราจังหวัด ขุนวรวาทพิสุทธิ์ อดีตศึกษาธิการจังหวัด ขุนอุทารระบิล อดีตปลัดเทศบาลเมืองอุบลฯ ขุนวิเลขกิจโกศล อดีตสมุหบัญชีเทศบาลเมืองอุบลฯ ชุดก่อตั้ง ได้แสดงความคิดเห็นว่า พระมหากษัตริย์ทรงตั้งพระบรมวงศานุวงศ์ให้ทรงกรม โดยนำชื่อจังหวัดต่างๆ มาตั้งพระนามบรรดาศักดิ์หรือราชทินนาม เช่น กรมขุนสุโขทัยธรรมราชา (รัชกาลที่ 7) กรมหลวงสงขลานครินทร์ (พระบรมราชชนกฯ) แต่จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นจังหวัดใหญ่ เป็นหัวเมืองเอก มีชื่อว่า "ราชธานี" แห่งเดียวของประเทศ ยังไม่มีการนำชื่อจังหวัดอุบลฯ มาตั้งพระนามาบรรดาศักดิ์ หรือราชทินนาม พระบรมวงศานุวงศ์พระองค์ใดเลย แต่ชาวอุบลฯ ภาคภูมิใจที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช ทรงตั้งพระนามสมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระองค์แรกว่า "อุบลรัตน์ราชกัญญาฯ" จึงสมควรขอพระราชทานนาม "อุบลรัตน์" มาเป็นชื่อสะพานแห่งนี้ เพื่อเป็นสิริมงคลตลอดไป (แม้ว่าพระนาม "อุบลรัตน์" จะมิได้เป็นชื่อของสะพาน ตามความมุ่งหวังของหลักชัยไม้เท้าชาวอุบลฯ แต่อีก 12 ปีต่อมา (พ.ศ. 2509) ชาวอุบลฯ ทั้งหลายก็ปลาบปลื้มใจ ที่ได้รับพระราชทานนาม "วัดศรีอุบลรัตนาราม" แทนวัดศรีทองเดิม สมควรปรารถนาตามเจตนารมย์ทุกประการ)

แนวทางที่ 3 กลุ่มคณะกรรมการหาทุนสร้างอนุสาวรีย์ "พระวอ-พระตา" และแนวร่วมต่างๆ แสดงความคิดเห็นว่า ควรตั้งชื่อสะพานนี้ว่า "สะพานพระวอ-พระตา" เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ผู้สร้างเมืองอุบลฯ เช่นเดียวกับ สะพานปฐมบรมราชานุสรณ์" สร้างเพื่อเทอดพระเกียรติสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พระผู้สร้างกรุงเทพมหานคร

แนวทางตั้งชื่อสะพานทั้ง 3 แนวทาง ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างเต็มที่ แต่ยังหาข้อยุติไม่ได้ กำหนดการจะเปิดสะพานก็ใกล้เข้ามาทุกที จังหวัดจึงรวบรวมความเห็นทั้ง 3 แนวทาง ให้รัฐบาลตัดสินชี้ขาด รัฐบาลสมัยนั้น มีจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี กำลังต่อสู้กับลัทธิคอมมูนิสต์ ซึ่งเป็นการปกครองระบอบเผด็จการ แต่เขาเรียกลัทธิของเขาว่า ประชาธิปไตย อีกแบบหนึ่ง จอมพล ป. พิบูลสงคราม จึงรณรงค์ให้โลกรู้ว่า การปกครองของไทย เป็นการปกครองแบบ "เสรีประชาธิปไตย" (Free -Democracy) ทุกสิ่งทุกอย่างในประเทศไทย จะต้องเป็นเสรีประชาธิปไตย เพื่อต่อต้านระบอบเผด็จการของคอมมูนิสต์ แม้แต่ชื่อสะพานก็เป็น "สะพานเสรีประชาธิปโตย"

สะพานแห่งนี้ มีการวิตกวิจารณ์กันว่า น่าจะไม่มั่นคง แต่ก็ดำรงคงอยู่คู่เมืองอุบลฯ เป็นเวลา 36 ปี จึงหมดอายุการใช้งาน ผู้เขียนได้รับเชิญร่วมพิจารณาสร้างสะพานใหม่ แทนสะพานนี้เมื่อปี 2532 ที่กรมโยธาธิการ สะพานชื่อเดิมแต่สร้างใหม่ ณ สถานที่เดิม เปิดใช้ปี 2535 ซึ่งเป็นปีที่อุบลราชธานีอายุครบ 200 ปี คู่ขนานกับ "สะพานรัตนโกสินทร์ 200 ปี" จังหวัดอุบลราชธานี เป็นที่เตือนใจว่า สะพานเสรีประชาธิปโตยเดิม แม้จะหมดสภาพไปตามอายุขัย ก็มีสะพานเสรีประชาธิปไตยใหม่ ขึ้นมาแทนที่ และจะสถิตย์สถาพรตลอดไป เช่นเดียวกับ ระบอบประชาธิปไตย คู่กับประเทศไทย

ผลไม้ต้านสารมะเร็ง

ผลไม้ต้านสารมะเร็ง

กรมอนามัยวิจัย 10 ผลไม้ไทย มีสารต้านมะเร็งสูง นางนัทยา จงใจเทศ นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า จากการทำวิจัย องค์ความรู้เรื่องปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระในผลไม้เพื่อส่งเสริมสุขภาพ (วิตามินซี วิตามินอี และ เบต้าแคโรทีน) ในผลไม้ ที่ทำการศึกษาในผลไม้ 83 ชนิด พบว่า

ผลไม้ 10 อันดับแรกที่มีเบต้าแคโรทีนสูงคือ

1. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก
2.
มะเขือเทศราชินี
3.
มะละกอสุก
4.
กล้วยไข่
5.
มะม่วงยายกล่ำ
6.
มะปรางหวาน
7.
แคนตาลูปเนื้อเหลือง
8.
มะยงชิด
9.
มะม่วงเขียวเสวยสุก
10.
สับปะรดภูเก็ต

ผลไม้ทั้งหมดนี้มีเนื้อสีเหลืองและสีเหลืองเข้ม


ส่วนผลไม้ที่ไม่มีเบต้าแคโรทีนเลย
1.
แก้วมังกร
2.
มะขามเทศ
3.
มังคุด
4.
ลิ้นจี่
5.
สาลี่

10
อันดับแรกของผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงคือ

1.
ฝรั่งกลมสาลี่
2.
ฝรั่งไร้เมล็ด
3.
มะขามป้อม
4.
มะขามเทศ
5.
เงาะโรงเรียน
6.
ลูกพลับ
7.
สตรอเบอร์รี่
8.
มะละกอสุก
9.
ส้มโอขาว
10.
แตงกวา
11.
พุทราแอปเปิล



การศึกษานี้พบผลไม้ที่มีวิตามินอีสูง 10 อันดับแรกคือ

1.
ขนุนหนัง
2.
มะขามเทศ
3.
มะม่วงเขียวเสวยดิบ
4.
มะเขือเทศราชินี
5.
มะม่วงเขียวเสวยสุก
6.
มะม่วงน้ำดอกไม้สุก
7.
มะม่วงยายกล่ำสุก
8.
แก้วมังกรเนื้อสีชมพู
9.
สตรอเบอร์รี่
10.
กล้วยไข่

ผลไม้ที่มีเบต้าแคโรทีน วิตามินซี และวิตามินอีน้อยทั้ง 3 ตัว คือ สาลี่ องุ่น และ แอปเปิ้ล