วันอาทิตย์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2553

หอคอยปีศาจ : Devils Tower


Devils Tower




สถานที่ตั้ง มลรัฐไวโอมิง ประเทศ สหรัฐอเมริก

หอคอยปีศาจในมลรัฐไวโอมิง เป็นชื่อเรียกหินที่ดผล่ขึ้นมาเหมือผิวดินเป็นรูปหน้าตัดตอนบนคล้าย ๆ กับตอของต้นไม้ใหญ่มหึมา ตอหีนนี้เกิดขึ้นเพราะอำนาจหินละลายของภูเขาไฟ เมื่อมันจับตัวเย็นลง และถูกอำนาจความร้อนและแสงแดดลมและฝนพัดซะกร่อนอยู่เสมอ ทำให้เห็นชั้นของหินในด้านตั้งได้ชัดเจน และมีลักษณะแปลกประหลาดมาก ชั้นของหินเหล่านี้แตกหักแล้วทำให้คงรูปเป็นเหลี่ยมขึ้นโดยรอบ จนเกือบไม่น่าเชื่อเลยว่าธรรมชาติจะสร้างสิ่งมหัศจรรย์ขึ้นมาได้เช่นนี้


ปามุคคาเล่ ปราสาทปุยฝ้าย



Pamukkale




สถานที่ตั้ง ประเทศตุรกี

ปามุคคาเล่ ดินแดนแห่งน้ำพุเกลือร้อนที่ไหลทะลุออกมาจากใต้ดินผ่านซากเมืองเก่าสมัยกรีกก่อนที่จะไหลลงสู่หน้าผา ในอดีตกาลชาวโรมันเชื่อว่าน้ำพุร้อนดังกล่าวสามารถรักษาโรคได้ จึงได้สร้างเมือง ฮีเยราโพลิส ล้อมรอบ ผลจากการไหลของน้ำพุเกลือแร่ร้อนนี้ได้ก่อให้เกิดทัศนียภาพของน้ำตกสีขาว เป็นชั้นๆหลายชั้น และผลจากการแข็งตัวของแคลเซียมทำให้เกิดเป็นแก่งหินสีขาว และแก่งหินสี ราวหิมะขวางทางน้ำ เป็นทางยาวซึ่งมีความงดงามมากประดุจหิมะจนถูกขนานนามว่า ปราสาทปุยฝ้าย แล้วหากใครอยากอาบน้ำแร่ก็ไม่ผิดหวัง เพราะที่นี่เขาสร้างแอ่งน้ำจำลองไว้บริการให้ดำผุด ดำว่ายเต็มที่ สาวนแอ่งธรรมชาติหมดสิทธิ์แตะ เพราะอาจเกิดความเสียหายขึ้นได้

สิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวอย่างมากคือ หน้าผาที่ขาวที่กว้างใหญ่ด้านข้างของอ่างน้ำ เป็นรูปร่างคล้ายหอยแครง และน้ำตกแช่แข็ง ถ้ามองดูจะดูเหมือนสร้างจากหิมะ เมฆ หรือ ปุยฝ้าย ชาวตุรกีขนานนามภูมิประเทศแห่งที่สถิตของเทพยดา นี้ว่า Pamukkale (ปราสาทปุยฝ้าย) pamuk หมายถึง cotton และ kale หมายถึง castle




บอรา บอรา : Bora Bora



Bora Bora



สถานที่ตั้ง ประเทศ French Polynesia

หมู่เกาะชาวพอลินีเชียในมหาสมุทรแปซิฟิค Bora Bora ในแปซิฟิคตอนใต้เป็นสถานที่รื่นเริงที่กว้างขวางสวยงามที่สุดในโลก เกาะถูกล้อมรอบด้วยเขต

ร้อน Bora Bora ที่มีชื่อเสียง ทะเลสาบสีน้ำเงินล้อมรอบด้วยหินปะการังเป็นรูปวงแหวน และสวมมงกุฎที่สง่างามอย่างธรรมชาติด้วยภูเขาไฟผิวขรุขระสูง 727( 2385 ฟิต) แกนภูเขาไฟที่อุดมและตกแต่งไปด้วยใบไม้เขตร้อน

Bora Bora
เป็นที่โปรดปรานของนักประดาน้ำที่สวมท่อหายใจ และที่ไม่สวมเครื่องดำน้ำ พวกเขาตลึงกับการปะปนกันของจำนวนและสีสันของพันธุ์ปลาเขตร้อนในน้ำใสสีฟ้า(อย่างพลอยเทอ-คอยส) น้ำอุ่นและหาดทรายขาวจำนวนหนึ่งยังคงอยู่ให้นักว่ายน้ำและผู้ที่อาบแดด ชื่นชม อย่างสำราญใจ

ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การเยี่ยมชม เนื่องจากลมที่พัดเข้าหาเส้นศูนย์สูตรจะเก็บรักษาอากาศสดชื่น Bora Bora ตลอดปี ถึงแม้นักท่องเที่ยวที่คิดจะมาเยี่ยมชมในช่วงเวลาเดือนพฤษภาคม ถึงเดือนกันยายน เวลานั้นก็จะเต็มไปด้วยแสงแดด



เดดซี: Dead Sea


Dead Sea





สถานที่ตั้ง ในหุบระหว่างประเทศอิสราเอลและจอร์แด

คำล่ำว่าลือโคลนที่นี่มีสรรพคุณเกี่ยวกับสุขภาพและความงาม เนื่องจากเป็นทะเลสาบปิด ที่แร่ธาตุนานาชนิดพากันหลั่งไหลมาทับถมมากมายขนาดสามารถพยุงน้ำหนักให้คนลอยคอ อยู่เหนือน้ำได้ "ไม่มีวันจม" และไม่มีสิ่งมีชีวิตใดสามารถอาศัยอยู่ได้ ที่มาของชื่อทะเลตาย- Dead Sea นอกจากความน่าตื่นเต้นจากแร่ธาตุมหาศาลก่า 30 % ของน้ำในทะเลสาบ เสน่ห์ของเเซีอีกอย่างก็คือ หมู่บ้าน Ein Bokek ที่ตั้งของซีนาก็อก หรือ โบสถ์ยิว ริมทะเลสาบซึ่งว่ากันว่าเป้นจุดต่ำสุดของโลก ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลถึง 393.5 เมตร

นักท่องเที่ยวนิยมมาใช้บริการศูนย์บริการริมทะเลสาบเพื่อเปลี่ยนชุดให้เหมาะสมที่จะพอกโคลน และลอยคอ บริเวณชายหาดจะมีถังโคลนใบใหญ่เพื่อให้นักท่องเที่ยวนำโคนสีดำจากทะเลสาบมาป้สยตามร่างกาย นักท่องเที่ยวบางคนเชื่อว่าการป้ายโคลนจากทะเลสาบนี้แร่ธาตุจะสามารถซึมผ่านผิวหนังไปแปรสภาพผิวให้งดงามได้ กิจกรรมสำคัญของทะเลสาบเดดซีคือการนอนลอยคอกลางทะเลสาบ

เนื่องจากเดดซีเป็นทะเลสาบปิดต่ำกว่าน้ำทะเลมากจึงไม่มีทางไหลออก และตั้งอยู่ในหุบระหว่าง ประเทศอิสราเอลและจอร์แดน ดังนั้นการเกิดคลื่นลมจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากมาก




เกรท แบริเออร์ รีฟ (แนวปะการังใหญ่) Great Barrier Reef


Great Barrier Reef


สถานที่ตั้ง : แหลมเคปยอร์ค รัฐควีนแลนด์ ประเทศออสเตรเลีย
เป็น "สิ่งก่อสร้างที่มีชีวิต" ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตในทะเลที่สดใส รวมทั้งปะการังชนิดอ่อน และชนิดแข็ง สีสวยกว่า 350 ชนิด ตลอดจนปลา และสิ่งมีชีวิตในทะเลที่น่าพิศวงต่าง ๆ อีก 1500 ชนิด แนวปะการังนี้เริ่มตั้งแต่แหลมเคปยอร์ค (Cape York) ซึ่งอยู่ไกลขึ้นไปทางเหนือของรัฐควีนแลนด์ ลงมาถึงบันดะเบอร์ก (Bundaberk) ทางตอนใต้ แนวปะการังอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ อยู่ในความดูแลขององค์การสวนทางทะเล เกรท แบริเออร์ รีฟ (The Great Barrier Reef Marine Park Authority) และครอบคลุมดูแลพื้นที่ 215,000 ตารางไมล์ หรือ 345,000 ตารางกิโลเมตร ของน่านน้ำรอบ ๆ แนวปะการัง เป็นสวนทางทะเลที่ใหญ่ทีสุดในโลกสิที่ได้รับการดูแลและปกป้องอย่างดี แนวปะการังซึ่งดูเหมือนกับป่าใต้น้ำนี้ เจริญเติบโตในเขตทะเลร้อน กระแสน้ำอุ่น และเป็นที่อยู่อาศัยอย่างหนาแน่นของชีวิตสัตว์ทะเลที่ต่าง ๆ กันได้แก่ ฟองน้ำ 10,000 ชนิด ปะการัง 350 ชนิด หอย 4,000 ชนิด ปลาดาวและซี เออร์ชิน (Sea Urchin)ซึ่งเป็นสัตว์ประเภทคล้ายหอย 350 ชนิด และปลามากกว่า 1,500 ชนิด นักดำน้ำประมาณว่าจะต้องดำน้ำถึงพันครั้งทจึงจะได้เห็นจุดเด่นของปะการังแห่งนี้ทั้งหมด สำหรับนักเดินทางที่ไม่ถนัดเรื่องกีฬาดำน้ำ ก็ไม่ต้องตระหนกตกใจจนไม่กล้าไปเยือน เพราะเขามีวิถีทางชื่นชมความงามของสวนใต้น้ำต่าง ๆ กันไป เช่น มีเรือท้องกระจก หรือเรือกึ่งเรือดำน้ำ โดยไม่ต้องกระโดดลงไปในทะเลตัวเปียกปอนเปล่า ๆ หรือถ้าไม่เชี่ยวชาญการดำน้ำแบบใช้ท่อออกซิเจน แค่ดำน้ำใช้ท่อหายใจทางปากอย่างที่หลายคน โดยเฉพาะเด็ก ๆ ใช้กันธิคุณก็จะมีโอกาสได้เพลิดเพลินกับความประหลาดมหัศจรรย์ของแนวปะการัง บริเวณพื้นที่แนวปะการังและเกาะควีนแลนด์ ซึ่งมีพื้นที่กว้างไกลกว่า 1,562 ไมล์ หรือ 2,500 ก.ม. มีแนวปะการังมากกว่า 2,900 แนว รวมทั้งมีเกาะขนาดต่าง ๆ กันและเกาะที่เกิดจากการรวมตัวของแนวปะการังอีกหลายร้อยเกาะ แนวปะการังใหญ่นี้ถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วนชัดังนี้ แนวปะการังเหนือ (Northern Reef) หมู่เกาะวิทซันเดย์ (Whitsunday Island) แนวปะการังใต้ (Southern Reef) ด้วยความเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติขนาดมหึมา จึงได้รับการพิจารณาจากองค์การ UNESCO ให้อนุรักษ์เป็นมรดกโลก (World Heritage List) และอาจเป็นเพราะความสัมพันธ์ทางระบบนิเวศซึ่งมรดกโลกมหึมานี้ยังเป็นที่อยู่ให้กับสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ อีกทั้งปลา หอย งู ปลาวาฬ เต่า รวมแล้วมากกว่า 6,000ยชนิดนอกจากนี้ยังพบว่าเป็นบริเวณที่มีพยูนอาศัยมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกอีกด้ว

วันเสาร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2553

สับปะรดช่วยระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง

สับปะรดเป็นผลไม้ที่หารับประทานได้ในบ้านเราตลอดทั้งปี มีประโยชน์ต่อสุขภาพจนไม่ควรมองข้าม เรามาทำความรู้จักความดีของสับปะรดกันดีกว่า

1.
ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง รับประทานสับปะรดวันละหนึ่งชิ้น ก็จะช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามินซี ที่สำคัญคือวิตามินซีช่วยในการทำงานของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน และยังช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายติดเชื้อ และต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆ การรับประทานสับปะรดวันละหนึ่งชิ้นจึงเป็นการเพิ่มแรงต้านโรคให้แก่ร่างกาย แต่ในผู้ที่มีเลือดจางไม่ควรกินมากนัก

2. ช่วยในการย่อยอาหาร สับปะรดมีกากใยอาหารมาก ซึ่งมีความสำคัญกับการย่อยอาหาร และเป็นที่รู้กันอยู่ว่ากากใยอาหารช่วยลดคอเลสเตอรอล ควบคุมน้ำตาลในเส้นเลือด และช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง

3. ช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดี สับปะรดมีสารแอนตี้ออกซิแดนต์ เช่น วิตามินซี เบต้าแคโรทีน และแมงกานีส ที่จะช่วยป้องกันอันตรายจากอนุมูลอิสระ ที่จะทำลายโครงสร้างของเซลล์ และอาจทำให้เป็นโรคหัวใจและอัมพฤกษ์ อัมพาต นอกจากนี้ สารแอนตี้ออกซิแดนต์ยังมีความสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอีกด้วย

4. ป้องกันความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง การรับประทานผักและผลไม้เป็นประจำ และลดการสูบบุหรี่ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งเต้านม เพราะสับปะรดมีสารแอนตี้ออกซิแดนต์ที่ช่วยป้องกันอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นตัวการก่อมะเร็ง และจากการศึกษาพบว่า เอนไซม์ Bromelain ในสับปะรดจะช่วยป้องกันการเติบโตของเซลล์ร้ายในปอด ป้องกันมะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งรังไข่

5. ช่วยป้องกันโรคต่างๆ การรับประทานผักและผลไม้ให้ได้วันละ 5 กำมือ จะช่วยลดการเสียชีวิตด้วยโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น อัมพฤกษ์ อัมพาต หรือมะเร็ง ได้ถึง 20%

6. ช่วยให้เหงือกแข็งแรง สับปะรดช่วยให้สุขภาพในช่องปากแข็งแรง เนื่องจากสับปะรดมีวิตามินซีสูงที่จะช่วยป้องกันความเสี่ยงจากโรคเหงือกได้

7. ช่วยยับยั้งการอักเสบ เอนไซม์ Bromelain ในสับปะรดจะช่วยยับยั้งการอักเสบ ทั้งนี้ ชาวอเมริกาใต้โบราณ ใช้สับปะรดเป็นยารักษาโรคผิวหนังและรักษาบาดแผล

Healthy Fruits(มะละกอ)

ผลไม้เพื่อสุขภาพ Healthy Fruitsในเมืองไทยมีมากมายไม่ว่าจะเป็น มะละกอ กล้วย ส้ม สัปปะรด แก้วมังกรและอีกหลายชนิดที่มีทั้งประโยชน์ต่อสุขภาพแ ละมีสรรพคุณในการบรรเทารักษาโรคอีกด้วย เนื่องจากเพื่อสุขภาพมีมากมายหลายชนิด จึงขอพูดถึงผลไม้ที่อยู่ใกล้ตัวเรามากที่สุดและพบเห็ นได้บ่อยในชีวิตประจำวันนั่นคือ มะละกอ

มะละกอ เป็นผลไม้เพื่อสุขภาพชนิดหนึ่ง เป็นพืชยืนต้น ลำต้นตั้งตรง เนื้ออ่อน สูงประมาณ 3-4 เมตร ผลของมะละกอมีทั้งรูปทรงยาวรี กลม เปลือกของผลมะละกอเมื่อดิบจะมีสีเขียวแต่พอมะละกอสุก จะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง-แสด มะละกอเป็นพืชที่ปลูกง่ายไม่ต้องดูแลมากเพียงคอยระวั งอย่าให้เกิดน้ำท่วมหรือน้ำขังบริเวณที่ปลูกมะละกอก็ พอ

การปลูกมะละกอ เนื่องจากมะละกอถือเป็นพืชผักพื้นบ้านชนิดหนึ่งจึงนิ ยมปลูกในบริเวณรั้วบ้าน มะละกอเป็นพืชที่ทนความแห้งแล้งได้ดีพอควร จึงไม่ต้องการการดูแลเอาใจใส่มากนัก การปลูกมะละกอจึงง่ายแต่ประโยชน์ที่ได้รับจากการนำส่ วนต่างๆ ของต้นมะละกอไปใช้งานหรือบริโภคนั้นมีมากมายหลายประก าร อาจพูดได้ว่า มะละกอเป็นผลไม้สารพัดประโยชน์เลยทีเดียวก็ได้

ประโยชน์ของมะละกอ มะละกอถูกนำไปใช้ประโยชน์เกือบทุกส่วนของต้น เริ่มจากส่วนใบและยอดของมะละกอสามารถใช้เป็นผักเพื่อ ปรุงอาหารได้ ส่วนลำต้นของมะละกอหากปอกเปลือกออกจะเห็นเนื้อภายในส ีขาวครีม มีลักษณะอ่อนนุ่มคล้ายหัวผักกาดของจีน สามารถนำมาประกอบอาหารได้เช่นกัน(ดองเค็ม-ตากแห้ง) เป็นอาหารที่มีประโยชน์และคุณค่าทางโภชนาการสูง ให้สารอาหารต่างๆ เช่น วิตามินเอ วิตามินบี แคลเซียม ธาตุเหล็กและวิตามินซี สารอาหารเหล่านี้ล้วนเป็นประโยชน์ต่อร่างกายทั้งสิ้น

ผลมะละกอ(โดยเฉพาะผลดิบ)จะมียางสีขาวข้นที่นำมาใช้ประโยชน์โดยสกัดเป็นเอนไซม ์ปาเปอีน(Papain) ที่ใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางและยังใช้หมักเนื้อ(ป รุงอาหาร)ทำให้เนื้อนุ่มอีกด้วย ประโยชน์ของยางมะละกอถูกใช้ในการปรุงอาหารโดยใส่ในหม ้อขณะต้มเนื้อเพื่อเร่งให้เนื้อเปื่อยเร็วขึ้น ผลมะละกอทั้งผลดิบและผลสุกยังมีประโยชน์อีกหลายอย่าง ผลมะละกอดิบมีสรรพคุณทางยาสามารถใช้เป็นพืชสมุนไพรช่ วยขับปัสสาวะ เป็นยาระบายอ่อนๆ นอกจากนี้ผลมะละกอดิบยังนำไปใช้ทำเป็นเครื่องดื่มสมุ นไพรคือ ชามะละกอที่มีสรรพคุณในการช่วยล้างลำไส้ โดยบริเวณผนังลำไส้ของคนเราจะมีคราบไขมันเกาะติดอยู่ เนื่องจากการกินอาหารที่ผัดด้วยน้ำมันเป็นประจำ คราบไขมันนี้จะเป็นตัวคอยขัดขวางไม่ให้ร่างกายดูดซึม สารอาหารไปใช้ได้อย่างเต็มที่ การดื่มชามะละกอเป็นประจำจึงเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพช่ วยล้างคราบไขมันที่ผนังลำไส้ทำให้ระบบดูดซึมสารอาหาร ของลำไส้ทำงานได้อย่างเต็มที่

ประโยชน์ของมะละกอดิบที่เป็นที่รู้จักกันดีอีกอย่างหนึ่งคือการนำไปปรุงเป ็นอาหาร ส้มตำซึ่งถือว่าเป็น อาหารเพื่อสุขภาพที่คนรู้จักกันดี ส่วนผลมะละกอสุกมีประโยชน์หลายอย่างไม่แพ้ผลมะละกอดิ บเลยคือการกินผลมะละกอสุกจะช่วยบำรุงธาตุ เป็นตัวช่วยย่อยอาหารทำให้ระบบขับถ่ายดีและยังมีสรรพ คุณเป็นยาระบายอ่อนๆ ทำให้ท้องไม่ผูก ผลมะละกอสุกยังนำไปทำเป็นเครื่องดื่มคือ น้ำมะละกอใช้ดื่มหลังอาหารช่วยในการย่อยอาหารและลดกรดในกระเพา ะอาหารทำให้ลำไส้ทำงานได้ดีขึ้นเนื่องจากในผลมะละกอม ีเอนไซม์ปาเปอีน(Papain) นั่นเอง

มะละกอสุกยังมีประโยชน์อีกอย่างที่สำคัญคือ ในผลสุกจะมีวิตามินเอ แคลเซียม วิตามินบี1 วิตามินบี2 และสารอาหารที่สำคัญสำหรับคุณสาวๆ นั่นคือ เบต้าแคโรทีนซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีสรรพคุณ ในด้านความงามเช่น บำรุงผิวพรรณ ลดริ้วรอยก่อนวัยอันควร ชะลอความแก่ ฯลฯ นับได้ว่ามะละกอเป็นผลไม้เพื่อความงามก็ไม่น่าจะผิด

ประโยชน์ของมะละกอที่มากมายทั้งสรรพคุณทางยาและประโยชน์ของมะละกอในด้า นช่วยบำรุงความงามของสตรีและให้สารอาหารที่เป็นประโย ชน์ต่อร่างกาย เพียงเท่านี้ก็ทำให้มะละกอเป็น ผลไม้เพื่อสุขภาพได้อย่างแท้จริง