วันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เพลงประจำชาติฝรั่งเศส //



ลามาร์แซแยส แปลตามตัวว่า เพลงแห่งเมืองมาร์เซย์ เป็นชื่อของเพลงสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ประพันธ์ คำร้องและทำนองโดย โคลด โจเซฟ รูเซต์ เดอ ลิสล์ เมื่อวันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2335 ที่เมืองสตราสบูร์ก ในแคว้นอัลซาซ เดิมเพลงนี้มีชื่อว่า "Chant de guerre de L Armee du Ghin" (แปลว่า เพลงมาร์ชกองทัพลุ่มน้ำไรน์) เดอลิสล์ได้อุทิศเพลงนี้ให้แก่นายทหารชาวแคว้นบาราเรีย (อยู่ในประเทศเยอรมันนี้ปัจจุบัน) ซึ่งเกิดในประเทฝรั่งเศสผู้หนึ่ง คือ จอมพลนิโคลาสเนอร์ ลัคเนอร์ (Nicolas Luckner) เมื่อกองทหารจากเมืองมาร์เซย์ได้ขับร้องเพลงนี้ขณะเดินแถวหน้าทหารเข้ามายังกรุงปารีส ทำให้เพลงนี้เป็นที่รุจักโดยทั่วไปและกลายเป็นเพลงปลุกใจในการร่วมปฎิวัติฝรั่งเศสทั่งยังเป็นที่มาของชื่อเพลงลามาร์แซแยสดังปรากฏอยู่ในปัจจุบันด้วยสมัชชาแห่งชาติฝรั่งเศสได้ออกประกาศรับรองให้เพลงลามาร์แซแยสเป็นเพลงชาติฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2338 ต่อมาเพลงนี้ได้ถูกงดใช้ในช่วงรัชสมัยของจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 และพระเจ้าหลุยส์ที่ 18 และมีการนำเพลงอื่นมาใช้เป็นเพลงชาติฝรั่งเศสแทนในระยะเวลาดังกล่าวแทน หลังการปฎิวัติในปี พ.ศ. 2373 เพลงนี้ก็ได้กลับมาใช้เป็นเพลงชาติในระยะสั้นๆ แต่ก็งดใช้อีกครั้งในสมัยของจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 ตราบจนกระทั่งฝรั่งเศสเข้าสู่สมัยสาธารณรัฐที่ 3 เพลงนี้จึงได้รับการรับรองให้เป็นเพลงชาติอย่างถาวรเมื่อ พ.ศ. 2422

อาหารที่ขึ้นชื่อของฝรั่งเศส //*+*

ราทาทุย
ราทาทุย ( Ratatouille ) เป็นอาหารพื้นเมืองของฝรั่งเศส ในเขต Provençal โดยมีลักษณะเป็นสตูว์ผัก มีต้นกำเนิดมาจากเมือง Nice ทานตอนใต้ของฝรั่งเศส อาหารชนิดนี้มีชื่อเต็มว่า ratatouille niçoise
รูปแบบของอาหาร
คำว่า ratatouille มาจากภาษาอ็อกซิตันว่า "ratatolha" ราทาทุยปัจจุบันพบเห็นได้ที่ Occitan Provença และ Niça โดยมักจะทำในหน้าร้อนโดยใช้ผักในฤดูร้อน Ratatolha de Niça สูตรดั้งเดิมนั้นจะใช้เพียงแค่ ซุชีนี่, มะเขือเทศ, พริกหยวกแดงและเขียว, หัวหอม, และกระเทียม ราทาทุยในปัจจุบันจะมีการใส่มะเขือลงไปในส่วนผสมด้วย
ปกติราทาทุยจะเสิร์ฟเป็นอาหารข้างเคียงกับอาหารหลัก หรือบางครั้งก็เสิร์ฟเป็นอาหารหลักบนโต๊ะอาหาร



ฟัวกรา เสิร์ฟแบบปิกนิกพร้อมขนมปัง
ฟัวกรา ( Foie gras ) แปลเทียบเคียงว่า fat liver คือตับห่านหรือเป็ดที่ถูกเลี้ยงให้อ้วนเกิน ฟัวกราได้ชื่อว่าเป็นอาหารฝรั่งเศสที่ดีที่สุด เช่นเดียวกับทรัฟเฟิล มีลักษณะนุ่มมันและมีรสชาติที่แตกต่างจากตับของเป็ดหรือห่านธรรมดา
ใน พ.ศ. 2548 ทั่วโลกมีการผลิตฟัวกราประมาณ 23,500 ตัน ในจำนวนนี้ ประเทศฝรั่งเศสเป็นผู้ผลิตมากที่สุดคือ 18,450 ตัน หรือร้อยละ 75 ของทั้งหมด โดยร้อยละ 96 ของฟัวกราจากฝรั่งเศสมาจากตับเป็ด และร้อยละ 4 มาจากตับห่าน ประเทศฝรั่งเศสบริโภคฟัวกราใน พ.ศ. 2548 เป็นจำนวน 19,000 ตัน
ประเทศฮังการีผลิตฟัวกรามากเป็นอันดับสอง และส่งออกมากเป็นอันดับหนึ่ง คือ 1,920 ตันใน พ.ศ. 2548 โดยเกือบทั้งหมดส่งออกไปที่ฝรั่งเศส



เป็นอาหารยุโรปประเภทหนึ่ง ในภาษาฝรั่งเศสหมายถึงเนื้อบดผสมไขมัน ปาเตโดยทั่วไปมีลักษณะเป็นซอสสำหรับทา ทำจากเนื้อบดละเอียดหรือส่วนผสมของเนื้อและตับบดหยาบ ๆ และมักผสมไขมัน ผัก สมุนไพร เครื่องเทศ หรือไวน์ เป็นต้น
ในประเทศฝรั่งเศสและประเทศเบลเยียม ปาเตอาจใช้เป็นไส้พายหรือขนมปังแถว เรียก "ปาเตอ็องกรูต" (ฝรั่งเศส: pâté en croûte) หรือใช้อบด้วยแตร์รีนหรือแม่พิมพ์แบบอื่น เรียก "ปาเตอ็องแตร์รีน" (ฝรั่งเศส: pâté en terrine) ปาเตประเภทที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ "ปาเตเดอฟัวกราส์" (ฝรั่งเศส: pâté de foie gras) ทำจากตับของห่านที่ขุนจนอ้วน คำว่า "ฟัวกราส์อองตีเยร์" (ฝรั่งเศส: foie gras entier) หมายถึง ตับห่านธรรมดาที่ได้รับการปรุงสุกและหั่นเป็นแผ่น ไม่ใช่ปาเต
ส่วนในประเทศฮอลแลนด์ ประเทศเยอรมนี ประเทศฟินแลนด์ ประเทศฮังการี ประเทศสวีเดน และประเทศออสเตรีย ปาเตที่ทำจากตับบางชนิดจะมีลักษณะอ่อนยวบ โดยมากเป็นไส้กรอกที่ใช้ทาได้ ภาษาดัตช์เรียก "leverworst" ภาษาเยอรมันเรียก "leberwurst


ขนมปังฝรั่งเศส
บาเกต ( baguette) หรือ ขนมปังฝรั่งเศส เป็นขนมปังมีลักษณะรูปทรงเป็นแท่งยาวขนาดใหญ่ เปลือกนอกแข็งกรอบ เนื้อในนุ่มเหนียว และเป็นโพรงอากาศ มักนำมาหั่นเฉียงเป็นแผ่นหนา เพื่อรับประทานกับซุป ปาดเนยสด หรือประกอบทำเป็นแซนด์วิช



เมดิเตอเรเนียนคีช
คีช ( quiche) เป็นอาหารจานอบชนิดหนึ่งโดยมีส่วนประกอบหลักคือ ไข่ นม หรือ ครีม ถึงแม้ว่าคีชจะมีลักษณะคล้ายพายแต่คีชถูกจัดเป็นอาหารคาว โดยในคีชอาจมีส่วนประกอบอื่นเช่น เนื้อสัตว์ ผัก เนยแข็ง ได้
ถึงแม้ว่าคีชจะมีส่วนประกอบหลายอย่างคล้ายอาหารประเภทพาสตา แต่ไม่ถูกจัดว่าเป็นส่วนหนึ่งของพาสตา




ครัวซอง


วันพุธที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ประวัติความเป็นมาของ น้ำหอม

ประวัติความเป็นมาของน้ำหอม
เราเชื่อกันว่าน้ำหอมนั้นเกิดขึ้นมานานแล้ว จากหลักฐานภาพวาดจิตรกรรม ฝาผนังตอนหนึ่งที่วิหารของพระราชินีHatshepsut ที่เมือง Thebes ในประเทศ Egypt ที่เป็นรูปของหญิงสาวชาวอิยิปต์โบราณกำลังโชลม นํ้าหอมลงบนศรีษะ ซึ่งได้แสดงให้เห็นว่ามีการใช้นํ้าหอม กันแล้วในยุคนั้น ซึ่งคาดว่านักเดินเรือชาวอิยิปต์ได้ไปนำมาจาก ดินแดนอื่น นํ้าหอมในสมัยโบราณนั้นจะทำมาจากยางไม้หอม ซึ่งยางไม่หอมแบบนี้จะมีอยู่ที่ Arabia และ Somalia เท่านั้น คำว่า "Perfume" นี้มีรากศัพท์มาจากภาษา ละติน ที่แปลว่า "ควัน" ในกรีก (Greek) โบราณคนที่ทำนํ้าหอมนั้นจะเป็นผู้หญิง ซึ่งได้ปรับปรุง มรดกการทำนํ้าหอมที่ตกถอดมาจากชาวอียิปต์โบราณให้พัฒนาดีขึ้นไป ในช่วงเวลาของจักรวรรดิโรมัน (Roman) การทำนํ้าหอมเขาจะใช้ยางไม้หอม จากต้นไม้จำพวก Boswellia โดยสั่งนำเข้ามาจาก Arabia และได้บวกกับส่วนผสม ที่ได้มาจากทะเลจากประเทศอินเดียซึ่งเป็นส่วนผสมใหมที่ใส่ลงไปในการทำนํ้าหอม ของชาวโรมันในสมัยนั้น เศรษฐีชาวโรมันจะใช้นํ้าหอมตามความพอใจ ชนิดที่เรียกได้ว่าใช้แบบล้างผลาญ เลยก็ว่าได้ นั่นก็คือ พวกเศรษฐีเหล่านี้จะเอานํ้าหอมไปพ่นและฉีดตามพื้นและกำแพง บ้านของตัวเอง และนอกจากนี้ยังนำนํ้าหมไปฉีดให้กับสัตว์เลี้ยงของบรรดาเศรษฐี อีกด้วยไม่ว่าจะเป็น สุนัข และ ม้า แต่ก้าวสำคัญในประวัติศสาตร์ของนํ้าหอม แล้วนั้นจะเกิดขึ้นในยุคกลาง (Middle ages) เมื่อชาวอาหรับ (Arabs) ได้คิดค้นพัฒนา เทคนิคในการ กลั่นนํ้าหอมได้เป็นผลสำเร็จ พื้นที่ ขนาดใหญ่โตของอาณาจักรเปอร์เซีย ได้ทำการ ปลูกดอกกุหลาบ เพื่อที่จะนำมาสกัดเป็นนํ้าหอม เนื้อที่ที่ใช้ปลูก ดอกกุหลาบนี้ใหญ่โตมหาศาล มาก จนถึงกับมี เรื่องเล่าขานกันว่า "กรุง Baghdad" (เมืองหลวงของประเทศอิรักในปัจจุบัน) ในสมัยนั้นได้สมญานาม ที่เรียกขานกันว่า "City of Fragrances" นอกจากนี้ชาวอาหรับยังได้ค้นพบ ส่วนผสมตัวใหม่ในการทำ นํ้าหอมอีกด้วยนั่นก็คือ สารที่ได้จากตัวชะมด หรือ กลิ่น ชะมดนั่นเอง ชาวอาหรับได้นำเจ้ากลิ่นชะมดนี้ไปผสมกับปูนขาว และพวกเขาก็นำ ปูนขาวที่ได้นี้ไปใช้สร้างสุเหร่า (Mosque) และพระราชวัง ซึ่งก็ทำให้ได้สุเหร่า และพระราชวังที่มีกลิ่นหอมไปทั่วทั้งเมือง และนี่คืออีกหนึ่งที่มาจากเรื่องเล่าถึงคำว่า "City of Fragrances" นั่นเอง
ในช่วงสมัยของ Crusaders ได้นำเครื่องหอมจาก อาหรับไปให้ชาวยุโรปได้รู้จัก แต่สำหรับก้าวแรกของนํ้าหอม ในยุโรปนั้นเริ่มจริงๆก็ในศตรวรรษที่ 16 เมื่อ แคทเธอรีน เดอ เมคิชี่ (Catherine de Medici) มาที่ประเทศ Italy เพื่อที่จะแต่งงานกับอนาคตกษัตริย์ในช่วงนั้น จากนี้ไปนํ้าหอม ก็พัฒนาไปเรื่อยๆ จนกระทั่งในต้นศตรวรรษที่ 19 ได้มีนักเคมีได้ทำการสังเคราะห์นํ้าหอมจาก สารเคมีจนได้กลิ่น ต่างๆ มากมายหลายพันกลิ่น จนกระทั่งนํ้าหอมได้กระจายไปทั่ว จนเป็นอุตสาหกรรม ขนาดใหญ่อย่างที่เห็นในปัจจุบัน Ingredients-กลิ่นน้ำหอมผู้คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่า กลิ่นของนํ้าหอมที่ได้จากต้นไม้นั้น มักจะมาจากดอกไม้ แต่น่าประหลาดใจมาก ส่วนอื่นๆของต้นไม้นั้น เราก็นำมาใช้ทำนํ้าหอมได้ ไม่ว่าจะเป็น ลำต้น ใบไม้ เนื้อไม้ ผล เมล็ด เปลือก และ ยางไม้ นอกจากส่วนต่างๆที่กล่าวมานี้นั้น


เรามาทำความรูจักกับชนิดของต้นไม้ ที่คนปรุงนํ้าหอมเขานำมาใช้ใน การทำนํ้าหอม ที่นิยมนำมาใช้มากในอันดับต้นๆ ดังนี้
- Balsam : เป็นยางไม้หอมชนิดหนึ่ง ที่มีลักษณะคล้ายขี้ผึ้ง Balsam ที่นิยมในแวดวง การผลิตเครื่องหอม ในปัจจุบันเป็นอันดับต้นๆ ก็คือ Balsam จากประเทศ เปรู
- Bergamot : ก็คือ ต้นมะกูดนั่นเอง ส่วนของมะกูดที่ใช้สกัด ทำมํ้าหอมก็คือ บริเวณเปลือก ของลูกมะกูดนั่นเอง กิ่นหอมที่สกัดจากผิวของลูกมะกูดนี้ส่วนใหญ่ จะนำไปใช้ใน นํ้าหอมสำหรับผู้หญิง
- Frankincense :เป็นยางไม้หอมจากต้นไม้จำพวก Boswellia เจ้าต้น Boswellia เป็นต้นไม้ขนาดเล็ก ที่เจริญเติบโตทางตอนใต้ของ Arabia และ Somalia ซึ่งยางไม้ชนิดนี้ เป็นส่วนสำคัญมาก ในการทำเครื่องหอม สมัยอณาจักรโรมันโบราณ ในปัจจุบันเราใช้ Frankincense เป็นส่วนผสมของ นํ้าหอมสมัยใหม่ถึง 13%
- Galbanum :เป็นยางไม้ของ ต้นยี่หร่า จากประเทศ Iran เจ้า Galbanum จะมีกลิ่นหอม ออกไปทาง Spicy
- Jasmine : ต้นมะลิใช้เป็นส่วนผสมหลัก ของนํ้าหอมในปัจจุบันมากกว่า 80 % เป็นรองก็ แค่ดอกกุหลาบ พันธุ์ของมะลิที่นิยมใช้ในการทำนํ้หอมก็คือ มะลิจากประเทศสเปน หรือที่เรียกกันว่า Royal Jasmine ซึ่งใช้มากที่สุดในยุโรป มาตั้งแต่ศตรวรรษที่ 16 แล้ว Royal Jasmine นี้จะเป็น ส่วนผสม ในการทำนํ้าหอม ที่แพงที่สุด เพราะว่า จากมะลิ 500 ปอนด์ จะกลั่นออกมาใช้ทำนํ้าหอม ได้แค่เพียง 0.1 % เท่านั้น
- Labdanum : เป็นหยดเล็กๆ ของยางไม้จากใบของต้น Cistus ที่ขึ้นอยู่ ในตะวันออกกลาง เราใช้ยางไม้ชนิดนี้ถึง 33% ในการทำนํ้าหอมในปัจจุบัน
- Lavender : เป็นส่วนผสมหลัก ในการทำนํ้าหอมมานานแล้ว นับตั้งแต่สมัย กรีก - โรมัน โบราณ ครั้งหนึ่งในประเทศ ฝรั่งเศส เคยปลูกต้น Lavender นี้ถึง 5,000 ตัน ต่อปีมาแล้ว
- Lemon : ผิวของผลมะนาว เป็นส่วนผสมที่จำเป็น ในการทำนํ้าหอม ที่ต้องการให้ได้กลิ่นหอม ที่สดชื่น สดใส มีชีวิตชีวา
- Lily of the Valley : ในช่วงเริ่มแรกของการทำนํ้าหอมนั้น เราได้ กลิ่นหอมของดอก Lily โดยการใส่ดอก lily ลงไปในนํ้ามัน แต่ในปัจจุบัน เราใช้กรรมวิธีที่ทันสมัย โดยการสกัดเอากลิ่นหอมของ lily ออกมา ด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย เราใช้ lily เป็นส่วนผสมในการทำนํ้าหอม ประมาณ 14 % ในปัจจุบัน
- Myrrh : เป็นยางไม้จากต้น Myrrh ซึ่งพบได้ใน Arabia, Somalia และ Ethiopia ในสมัยโบราณ เขาใช้ยางไม้ชนิดนี้ทำเป็นยาสมุนไพร และ ใช้ทำ นํ้ายา ดองศพ แต่ในปัจจุบัน นักปรุงนํ้าหอมบอกว่า คุณสมบัติที่เด่นของ Myrrh นี้คือ มันเป็นตัวช่วยให้ กลิ่นของนํ้าหอม ติดร่าางกายทนนานยิ่งขึ้น เพราะมันมีสารที่ทำให้ นํ้าหอม ระเหยไปในอากาศ ช้าลงนั่นเอง
- Neroli : ได้จากการกลั่น จากดอกของต้นส้ม ชื่อ Neroli นี้ได้มาจากในช่วง หลังศตรววรษที่ 16 โดยภรรยาของ เจ้าชายของ อิตาลีคนหนึ่ง ใช้ Neroli ผสมในนํ้า ที่เธออาบ ทำให้กลิ่นหอม นี้เริ่มเป็นที่แพร่หลายในยุโรป แต่จริงๆแล้ว Neroli เข้ามาในยุโรปนานแล้ว ตั้งแต่ศตรวรรษที่ 12 โดยชาว อาหรับเป้นผู้นำเข้ามา ในปัจจุบันใช้เป้นส่วนผสม ในการทำนํ้าหอมถึง 12%
- Oak Moss : เป็น Lichen ที่อยู่ตาม ต้นโอ๊ก ต้นสน และต้นไม้อื่นๆ ในแถบเถือกเขา ทางเหนือ ของแอฟริกา และ ยุโรป เราใช้ oak moss เป็นตัวที่ยึด กลิ่นหอมของนํ้าหอมไว้ ไม่ให้ระเหยไปเร็ว

วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

หลักการอ่านหนังสือเตรียมสอบ (ของสายศิลป์) O-O

**หลายคนสงสัยทำไมต้องเฉพาะสายศิลป์ ก็เพราะสายศิลป์ท่องจำไวยกรณ์ ไม่ได้ท่องจำสูตร การอ่านของสายศิลป์คือการอ่านบ่อยๆให้ค่อยๆซึมเข้าไปในหัว ไม่ใช่ท่องจำถึงที่มาที่ไปของสูตร และอีกอย่างวิธีเหล่านี้ใช้ไม่ได้ในเด็กสายวิทย์**
อย่างแรกที่ต้องแนะนำ
1.กิน...ถ้าในระหว่างนี้คุณยังกลัวความอ้วนอยู่ ขอแนะนำให้ปิดหน้าต่างนี้ไปเลย ไม่ใช่ขยับปากเคี้ยวแล้วจะคิดออกนะ -*- แต่สมอง(ซึ่งถูกคุณใช้งานอย่างหนัก)ก็ต้องการสารอาหาร ควรจะเป็นของหวาน (แนะนำชอคโกแลต) คุณลองกินสิ จะรู้สึกมีพลังขึ้นมาอีก 25% และก็กินเข้าไปเลย กินๆๆ ไม่เปนไร เอนท์ติดแล้วเราลดได้ นอกจากนี้ สมองยังต้องการการผ่อนคลาย ซึ่งจะกลายเป็นหัวข้อที่ 2

2.สุขภาพจิตดี... ถ้าคุณเครียดทั้งวันทั้งคืน หนำซ้ำพ่อแม่ยังนั่งเฝ้า ...ตี 2 คุณเริ่มฟุบ พ่อคุณถามว่า "จะนอนแล้วหรอ?" ...หัวคุณก็จะหมกมุ่นอยู่กับความอึดอัด ความแค้น(ทำไมกูต้องเอนท์ด้วยวะ) ในขณะที่สายตาของคุณกวาดไปมา และสมองคุณเกร็งอย่างแรง กลับจำอะไรไม่ได้เลย คุณคิดว่าคุณเครียดแล้วจะอ่านหนังสือได้เยอะงั้นหรือ...เปล่าเลย คุณโกหกตัวเอง เหมือนเอาเชือกมารัดหัวแล้วบอกตัวเองว่า ฉันอ่านหนังสือหนักจนปวดหัวเลยนะเนี่ย...ข้อนี้แนะนำให้กินน้ำ ล้างหน้าบ่อยๆ ออกไปเดินเล่นซัก 10 นาทีคงไม่ทำให้คุณสอบตก แลกกับการชาร์จพลังสมอง...คุ้มนะ

3.สมาธิ..อย่าดูถูกวิธีโบราณ มันช่วยได้จริง...ก้อการนั่งสมาธิไงล่ะ ลองเปิดเพลงไปด้วย ถ้าคุณมีสมาธิจริงคุณจะไม่ได้ยินเสียงเพลงเลย (ไม่ใช่นั่งไปคิดไป เมื่อไหร่เพลงจะหาย..ยังงี้ไม่ได้นะคะ เพราะเท่ากับคุณนั่งฟังเพลง) คิดว่าเรามีลูกแล้วอยู่ในร่างกาย แล้วมันวิ่งขึ้นวิ่งลงช้าๆ ไปเรื่อยๆ
เคยอ่านข้อสอบรอบนึงแล้วไม่รู้ว่าข้อสอบถามอะไรมั้ย นั้นล่ะ คุณกำลังขาดสมาธิ หายใจเข้า-ออกยาวๆ และพยายามทบทวนอยู่เสมอว่าเมื่อกี้เราคิดอะไรอยู่ ให้จดจ่อกับเรื่องที่อ่านไปเรื่อยๆ อย่าให้เส้นสมองขาดตอนนะ

4.กำลังใจ...ถ้าใน 3 ข้อแรก คุณทำอะไรไม่สำเร็จเลย แปลว่าคุณขาดกำลังใจ ขาดแรงฮึดสู้ หรือง่ายๆว่า คุณไม่อยากเอนท์ มีหลายสาเหตุ
- เข้าที่ไหนก็ได้...อย่าโกหกตัวเอง เพียงเพราะว่าคุณเป็นคนขี้เกียจ ใครๆก็อยากเอนติดกันทั้งนั้น คุณบอกว่าคุณไม่หวัง คุณบอกว่าคุณขี้เกียจอ่านและไม่เอาอะไรแล้วในชีวิตดีกว่า จริงอยู่ เอน..ไม่ใช่ทุกสิ่ง แต่เมื่อคุณีโอกาส ทำไมไม่ตั้งใจทำให้มันดี
- ประชดคนบางคน... โถๆๆ อย่าเอาคนอื่นมาตัดสินชะตาชีวิตตัวเองแบบนี้เป็นอันขาด ไม่ว่าแม่คุณจะประกาศแก่แม่ค้าทั้งตลาดว่าคุณไม่มีทางเอนติด หรือ พร่ำหวังให้คุณติด มหิดล-จุฬา ทั้งสองอย่างทำให้คุณหดหู่จนไม่อยากทำให้เขาสมน้ำหน้า
คุณอย่าไปสนใจดีกว่า...บอกแล้วไง คุณทำเพื่ออนาคตคุณเอง เปลี่ยนแรงกดดันนั้นให้เป็นแรงฮึดสู้...(กูจะติดแพทย์ศิริราชให้ดู..ว่างั้น)

ยังไงก็แล้วแต่ คุณต้องอ่านเยอะๆ อ่านหลายๆรอบ อ่านจนสามารถพูดสรุปออกได้เป็นฉากๆ ไม่ใช่ท่องจำ แต่มันคือการฝังลงไปในหัวที่พร้อมจะเรียกใช้เมื่อไหร่ก็ได้ อย่าไปมัวท่อง(ขอเน้น..อย่า!!!) อ่านบ่อยๆเท่านั้นที่ช่วยได้ อ่านครั้งแรกคุณจะรู้สึกสมองโล่งและคิดในใจว่า คุณจะจำได้ซักกี่คำกัน แต่ครั้งที่ 2 เฮ้ย!! คำนี้มันคุ้นๆ (หลังจากนั้นไปตามหาว่ามันแปลว่าไร ขอย้ำ!! ไม่ต้องท่อง) ครั้งที่ 3 คุณจะจำได้เองอย่างไม่น่าเชื่อ...สาธุ

สำหรับคนที่เรียนพิเศษแล้วไม่เข้าใจ...ฉันเองก็เคยสอนพิเศษ สามารถบอกได้เลย
คนที่ไม่ฟัง เอาแต่จด เอาแต่อ่านในหนังสือน่ะ พลาดโอกาสอันดีไปนะ เพราะเนื้อหาส่วนใหญ่อยู่ที่ปากคนสอน คุณจะเข้าใจมั้ยก้ออยู่ที่คนสอน
เช่นเวลาไปเรียนแบรนด์ บางคนนั่งอ่านในหนังสือแล้วคิดว่า เค้าพูดถึงไหนแล้ว...กว่าจะคิดได้ว่าที่เขาพูดไม่มีในหนังสือ คุณก็จดไม่ทันแล้วล่ะ หนังสือนั่นน่ะมันไม่ไปไนหรอก คุณจะอ่านเมื่อไหร่ก็ได้ คุณจะเอาเวลาว่างมาท่องทั้งเล่มก็ไม่มีใครว่า

**ถ้าเป็นไปได้เวลาเรียนพิเศษ ฟังที่อาจารย์พูด ฟังทุกคำ ไม่ใช่เหม่อลอยคำที่ 2 กลับมาฟังอีกทีคำที่ 8 ...ชาติหน้าตอนบ่ายๆคงเข้าใจ แต่ก็ไม่ใช่ฟังแล้วเขี้ยนตามคำบอก...จงฟังแล้วคิด แล้วเขียนอย่างที่ตัวเองเข้าใจ เมื่อจบคอร์สเอามาเรียบเรียงให้เป้นภาษาคน แล้วอ่านซ้ำ(หลายๆรอบ เอาให้จำได้) เราจะรู้ได้เลยว่า อ๋อ บรรทัดนี้ อาจารย์เค้าสอนไว้ว่าไงบ้าง **

...ขอแนะนำขั้นสุดท้ายว่า ม.5 เทอม 2 ควรจะเรียนพิเศษให้เสร็จ (ในกรณีที่เอนครั้งเดียวเดือนกุมภา) พอขึ้นม.6ก็ควรจะเริ่มจำที่เรียนๆมาได้แล้ว อย่าหวังว่าจะไปอ่านที่โรงเรียน มันไม่สามารถอ่านจนจับประเด็นได้เลย เว้นแต่จะเอาเลขไปทำเล่นๆ แต่ถ้าอีก 3 เดือนแล้วไม่มีไรในหัวเลย ขอแนะนำให้ทำข้อสอบย้อนหลักซัก 15 ปี ส่วนคนที่อ่านพร้อมแล้วทำ 7 ปีก้อพอ...

การจัดตารางการอ่านหนังสือ ดีมากๆๆๆเลยลองอ่านดู

จริงๆ แล้วการอ่านหนังสือตอนที่พี่อ่านเตรียมสอบ ไม่ได้จัดตารางเลยครับ เพราะเคยทำแล้ว ทำไม่ได้ แล้วจะอ่านให้มีประสิทธิภาพทำอย่างไร ตอบได้คำเดียวครับ “อ่านเมื่ออยากอ่าน” แต่ต้องไม่ใช่ว่ามีแต่ไม่อยากอ่านนะ ต้องทำให้อยากอ่านบ่อยๆ อยากอ่านมากๆ อยากรู้มากๆ เพื่อให้การอ่านมีประสิทธิภาพ ครับ อ่านทุกเวลาที่สามารถทำได้นั่นแหละดีที่สุด เพื่อนพี่เคยติดสูตรไว้ในห้องน้ำ พกสูตรติดตัว พกโน้ตย่อไว้ที่กระเป๋าเสื้อตลอดเวลา บางคนมีหนังสือติดตัวทุกที่ เพื่อให้ อยากอ่านเมื่อไร ก็หยิบขึ้นมาอ่านได้ทันที ไม่ต้องรอเวลา ไม่ต้องจัดตาราง

เอาละ แล้วถ้าจะจัดตารางเวลาอ่านหนังสือ จะทำยังไงดี พี่ขอว่าเป็นข้อๆ เลยดีกว่าครับ
1. เลือกเวลาที่เหมาะสม
เวลาที่เหมาะสมหมายความว่า เวลาที่น้องต้องการจะอ่าน เวลาที่ว่างจากงานอื่น เวลาที่อยากจะอ่านหนังสือ หรือเป็นเวลาที่อ่านแล้วได้เนื้อหามากที่สุด เข้าใจมากที่สุด เวลาของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนชอบอ่านตอนเช้าตรู่ บางคนชอบอ่านตอนกลางคืนก่อนนอน บางคนชอบอ่านเวลากลางวัน แล้วแต่การจัดสรรเวลาของแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน น้องต้องเลือกดูเวลาที่เหมาะสมของตัวเองนะครับ การจัดเวลาต้องให้ได้อย่างน้อย 2 ชั่วโมงครับ วันนึงถ้าอ่านหนังสือแค่วันละ 2 ชั่วโมงน้อยมาก
2. วางลำดับวิชาและเนื้อหา
ขั้นตอนต่อมา คือ เลือกวิชาที่จะอ่าน มีหลักง่ายๆ คือ เอาวิชาที่ชอบก่อน เพื่อให้เราอ่านได้เยอะๆ และอ่านได้เร็ว ควรเลือกเรื่องที่ชอบอ่านก่อนเป็นอันดับแรก จะได้มีกำลังใจอ่านเนื้อหาอื่นต่อไป ไม่แนะนำวิชาที่ยาก และเนื้อหาที่ไม่ชอบนะครับ เพราะจะทำให้เสียเวลาเปล่า การอ่านหนังสือควรอ่านให้ได้ตามที่เราวางแผนเอาไว้ วิธีการก็คือ List รายการหรือเนื้อหา บทที่จะอ่านให้หมด จากนั้นค่อยเลือกลำดับเนื้อหาว่าจะอ่านเรื่องใดก่อนหลัง แล้วค่อยลงมืออ่าน
3. ลงมือทำ
ยังไง ถ้าไม่มีข้อนี้ก็ไม่มีทางสำเร็จ การลงมือทำคือการลงมืออ่านอย่างจริงจัง อย่าผัดวันประกันพรุ่ง เหมือนกับที่พี่เคยเขียนไว้ว่า อย่าฝากอนาคตของตัวเองไว้กับความขี้เกียจของวันนี้ บางคนลงมือทำ แต่ไม่จริงจัง ก็ไม่ได้นะครับ ขอให้นึกถึงชาวนาแล้วกัน ถ้าลงมือทำนาเริ่มตั้งแต่หว่าน ไถ แล้วทิ้งค้างไว้แต่ไม่ทำให้สำเร็จ ไม่ดูแลจนกระทั่งเก็บเกี่ยว หรือทิ้งไว้ไม่เก็บเกี่ยว การทำนาก็จะไม่สำเร็จ เราก็จะไม่มีข้าวกิน ดังนั้น ขอให้น้องๆ “ทำอะไร ทำจริง” แล้วกันนะครับ ทำให้ได้จริงๆ
4. ตรวจสอบผลงาน
ผลของการอ่าน ดูได้จากว่า ทำข้อสอบได้หรือไม่ ถ้าอ่านแล้วทำข้อสอบได้ ก็แสดงว่าอ่านรู้เรื่อง อ่านเข้าใจ ได้เนื้อหาจริงๆ แต่ถ้าอ่านแล้วทำข้อสอบไม่ได้ ก็ต้องกลับไปทบทวนใหม่ พี่ขอแนะนำว่า อ่านแล้วต้องจดบันทึกไว้ด้วยนะครับ จะได้รู้ว่า เราอ่านไปถึงไหนแล้ว และอ่านไปได้เนื้อหาอะไรบ้าง การจดบันทึก ก็คือการทำโน้ตย่อนั่นแหละ ทำสรุปไว้เลยว่าอ่านอะไรไปแล้วบ้าง เก็บไว้ให้มากที่สุด จะได้เป็นผลงานของตัวเอง เก็บไว้อ่านเมื่อต้องการ เก็บไว้อ่านตอนใกล้สอบ

อยากจะบอกว่าช่วงนี้ยังมีเวลาเพียงพอสำหรับการเริ่มต้นที่ดี ยังไม่สายเกินไปหากคิดจะเริ่มอย่างจริงจัง อย่าอ่านเพียงแค่ได้เปิดหนังสือ อย่าโกหกตัวเองว่าได้อ่านแล้ว อย่าหลอกตัวเอง อย่าหลอกคนอื่น ความรู้ไม่สามารถลอกเลียนแบบกันได้ หลอกคนอื่นอาจหลอกได้ หลอกตัวเองไม่ได้แน่นอน คนที่รู้จักเรามากที่สุดก็คือ ตัวเราเองนี่แหละ ตั้งใจทำ ทำเพื่ออนาคตของตัวเองนะครับ ขอให้โชคดีประสบความสำเร็จครับ

Yves Saint Laurent ดีไซเนอร์ฝรั่งเศสผู้เป็นตำนาน เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ที่ผ่านมา ด้วยอายุ 71 ปี และได้มีการทำพิธีศพของเขาไปเมื่อวันที




นอกจากความสามารถในการออกแบบของ Yves Saint Laurent ที่เขาถือเป็นอีกหนึ่งสุดยอดดีไซเนอร์แห่งศตวรรษที่ 20 แล้ว Saint Laurent ก็ยังมีส่วนสำคัญต่อวงการนางแบบโลก เพราะเขานี่แหล่ะ เป็นผู้บุกเบิกให้วงการแฟชั่นโลกเลิกเหยียดผิว และเปิดโอกาสให้กับนางแบบผิวดำ

Elle ฝรั่งเศส มิถุนายน 2008 นำ Yves Saint Laurent ขึ้นปก
Naomi ไม่เคยลืมบุญคุณที่ Saint Laurent ได้ช่วยเหลือเธอ และการเสียชีวิตของ Saint Laurent ก็ทำให้ Naomi เสียใจเป็นอย่างมาก

โดย Naomi ได้ออกมาพูดไว้อาลัยให้กับ Saint Laurent เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน เธอบอกว่า"ฉันได้ขึ้นปก Vogue ครั้งแรกในชีวิตก็เพราะ Saint Laurent นี่แหล่ะที่ช่วยเหลือ" "ฉันเคยบอกกับ Saint Laurent ว่า'Yves พวกเขาไม่ยอมให้ฉันขึ้นปก Vogue ฝรั่งเศส พวกเขาไม่มีวันให้นางแบบผิวดำขึ้นปก'

แล้ว Saint Laurent ก็ตอบฉันว่า"ฉันจะจัดการเรื่องนี้ให้เธอเอง Naomi"และในที่สุด Saint Laurent ก็จัดการให้ Naomi ได้ขึ้นปก Vogue ฝรั่งเศส จริงๆ แล้วก็ทำให้ Naomi กลายเป็นประวัติศาสตร์ เพราะเป็นครั้งแรกของโลกที่ Vogue ฝรั่งเศส ให้นางแบบผิวดำขึ้นปก